ผลสำรจกรรมการ IOD มองบทลงโทษผู้บริหารที่กระทำความผิดในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้น และความผิดอินไซเดอร์เอาเปรียบผู้ลงทุนในการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่สิ้นสุดที่การถูกปรับนั้น เบาเกินไป แถมกระทำผิดซ้ำอีก และยังอยู่ในตำแหน่งต่อได้ ชี้ควรได้รับทั้งโทษปรับ จำคุก และตัดสิทธิการเป็นกรรมการด้วย และอยากเห็นบทลงโทษผู้บริหารทำผิดเข้มข้นขึ้น
ดร.บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทย ปี 2559 ส่วนใหญ่เห็นว่า บทลงโทษกรรมการ หรือผู้บริหารที่กระทำความผิดในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน รวมถึงการใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งส่วนใหญ่สิ้นสุดที่การถูกปรับนั้นเบาเกินไป และกรรมการที่กระทำผิดควรได้รับทั้งโทษปรับ จำคุก และตัดสิทธิการเป็นกรรมการด้วย นอกจากนี้ ยังมองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรรมการขาดจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่เกิดจากการขาดวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องจริยธรรม
ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่สถาบัน IOD ได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทยประจำปีขึ้น เพื่อรวบรวมความคิดเห็นของกรรมการในประเด็นที่เป็นที่สนใจของกรรมการ และกรรมการควรให้ความสำคัญ โดยทำการสำรวจระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2559 มีกรรมการที่ร่วมแสดงความคิดเห็น 416 คน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านประสบการณ์ของกรรมการ ขนาดของกิจการ และประเภทของอุตสาหกรรม ทำให้ข้อมูลที่ประเมินสามารถสะท้อนมุมมอง และความคิดเห็นของกรรมการไทยได้เป็นอย่างดี
จากผลการสำรวจ กรรมการส่วนใหญ่ร้อยละ 65 เห็นว่า บทลงโทษสำหรับกรรมการ หรือผู้บริหารที่กระทำผิดในลักษณะการกระทำอันไม่เป็นธรรม หรือการเอาเปรียบผู้ลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การใช้ข้อมูลภายใน การสร้างราคาหุ้นในปัจจุบันนั้นเบาเกินไป โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้กระทำผิดดังกล่าวควรได้รับทั้งโทษปรับ และจำคุก รวมถึงการตัดสิทธิการเป็นกรรมการด้วย
จากการศึกษาข้อมูลตามที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. IOD พบว่า ส่วนใหญ่กรรมการ หรือผู้บริหารที่กระทำผิดในลักษณะการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถือหุ้น จะถูกลงโทษด้วยการเปรียบเทียบปรับเท่านั้น และยังคงสามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการต่อไปได้
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกรรมการ หรือผู้บริหารบางรายกระทำผิดซ้ำในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันที่ช่วงเวลา ดังนั้น ในแง่บทลงโทษจึงควรมีความเข้มข้นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยต้องเพียงพอที่จะทำให้ผู้จะกระทำเกิดความเกรงกลัวที่จะกระทำผิด
“ในส่วนของ IOD เห็นว่า การกระทำผิดของกรรมการเกี่ยวต่อทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในบริษัทจดทะเบียนนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงที่คณะกรรมการบริษัทไม่ควรเพิกเฉย เนื่องจากเป็นการกระทำผิดทั้งทางกฎหมาย และจริยธรรม ดังนั้น คณะกรรมการจึงควรตรวจสอบให้มั่นใจว่า บุคคลที่จะเสนอชื่อเป็นกรรมการนั้นไม่มีประวัติการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาก่อน” ดร.บัณฑิต กล่าว
สำหรับปัจจัยที่กรรมการไทยเห็นว่า มีผลทำให้กรรมการขาดจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ คือ วัฒนธรรมองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องจริยธรรม (ร้อย 60) คณะกรรมการให้ความสำคัญต่อเรื่องกำไรมากกว่าจริยธรรม (ร้อยละ 47) ระบบการตรวจสอบควบคุมภายในไม่มีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 36) ซึ่งการปรับเปลี่ยนควรเริ่มจากคณะกรรมการในฐานะผู้นำองค์กรที่จะต้องตระหนักถึงความสำคัญ ผลักดันให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเป็นแบบอย่างที่ดี และจัดให้มีระบบที่รองรับกับการกำกับดูแลให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามจริยธรรมที่ได้กำหนดไว้
ในด้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการนั้น กรรมการร้อยละ 74 มองว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยกรรมการที่มีทักษะความรู้หลากหลาย และสอดคล้องต่อกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจมีความสำคัญมากที่สุดในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของกรรมการ โดยประเด็นที่คณะกรรมการส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญในการประชุมกรรมการมากขึ้นในปีนี้ คือ เรื่องกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ (ร้อยละ 61) และการบริหารความเสี่ยง (ร้อยละ 54)
สำหรับมุมมองของกรรมการไทยที่มีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ร้อยละ 35 มองว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2558 ในขณะที่ร้อยละ 33 มองว่า เศรษฐกิจจะแย่ลงเล็กน้อย และร้อยละ 10 มองว่าจะแย่ลงมาก โดยร้อยละ 22 มองว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ก็มีลักษณะคล้ายกัน โดยร้อยละ 39 มองว่า จะทรงตัว ในขณะที่ร้อยละ 33 เห็นว่ามีแนวโน้มแย่ลงเล็กน้อย ร้อยละ 12 มองว่าจะแย่ลงมาก และร้อยละ 16 มองว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ กรรมการไทยมองว่า ประเด็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ความไม่ชัดเจนของทิศทางเศรษฐกิจ (ร้อยละ 22) ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง (ร้อยละ 21) และการทุจริตคอร์รัปชัน (ร้อยละ 20)