“อุ่น ล่ำซำ”ลูกสาวคนโตจากพี่น้อง 3 ใบเถา ของ “ภูมิชาย- จุฑาภรณ์ ล่ำซำ” มือหนึ่งบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต-ประกันภัย ผู้บุกเบิก และลุยธุรกิจประกันจนเกษียณ พี่น้อง “อุ่น-ออม-แพร ล่ำซำ” ทั้ง 3 สาวเติบโตในครอบครัวที่อบอุ่น ยึดต้นแบบคุณพ่อทั้งการใช้ชีวิต และทำงาน อุ่น เริ่มต้นวัยเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้นประถม 4 ที่โรงเรียนจิรดา หลังจากนั้น ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษใช้ชีวิตอยู่ประมาณ 12 ปี จนจบปริญญาตรีประวัติศาสตร์ศิลปะ และปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อุ่น กลับมาเริ่มต้นการทำงานประชาสัมพันธ์ที่ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นช่วงของการเรียนรู้ชีวิตการทำงาน เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งก็ตัดสินใจลงเรียน MBA ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นใบปริญญาที่ภาคภูมิใจ และมีความสุขที่สุดในชีวิต อุ่น ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเพื่อนๆ ในห้องหลายเท่า เพราะไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านธุรกิจเลย ใบปริญญา MBA อันนี้บอกเลยว่า มีความภาคภูมิใจมาก และอีกอย่างหนึ่งคือ ความสุขใจที่ได้ถ่ายรูปกับครอบครัว เพราะเวลาที่ได้รับปริญญาที่เมืองนอกไม่ได้ถ่ายรูปครบทั้งครอบครัวแบบนี้เลย อันนี้คือญาติมาเต็มมาก มาทุกคนเลย รู้สึกว่าเป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่อยากมีมานานแล้ว
ปัจจุบัน ได้ลงเรียนหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอกประชาธิปไตร (ปนป.) รุ่นที่ 5 เป็นหลักสูตรรุ่นเด็กน้อย ของสถาบันพระปกเกล้า เรียนทุกวันเสาร์เต็มวัน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่แตกต่างกับศศินทร์อย่างสิ้นเชิง โดยหลักสูตร ปนป.จะมีกิจกรรมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเรียน อุ่นสนใจอยากจะเรียนหลักสูตรนี้ตั้งนานแล้ว เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ติดด้วยเวลา และภาระหน้าที่ ตอนนี้สามารถจัดสรรเวลาได้ลงตัวจึงได้สมัครเรียน เพราะต้องการที่จะรู้จักคนมากมายหลากหลายอาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยปกติเวลาทำงานอาจจะเจอคนในแวดวงธนาคาร หรือประกันฯ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำกันมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ที่เป็นทั้งนักการเงิน ประกันมาตลอด จึงไม่ได้เจอคนที่หลากหลายปรเภทมากเท่าไร
การเรียนที่พระปกเกล้า เหมือนกับเรียนเพื่อหาสังคม จะมีกิจกรรมเยอะมาก ทำให้ผ่อนคลาย มีการแต่งตัว สังสรรค์ พบเพื่อนใหม่หลายวงการ ทหาร ตำรวจ ไม่คิดว่าจะคุยกันได้ เพราะข้าราชการก็มาอีก Culture หนึ่ง สั่งอย่างเดียว ไม่ฟัง คุณต้องทำตาม คือ มาเรียนทุกคนต้องถอดหมวก ก็เป็นอะไรที่สนุก มีความสุขอีกแบบหนึ่ง

การเรียนพระปกเกล้าทำให้อุ่นเรียนรู้ว่า ถ้าจะจัดสรรเวลาเราก็ทำได้ เมื่อก่อนอุ่นจะชอบพูด และให้เหตุผลที่เข้าข้างตัวเองเสมอว่าไม่มีเวลา ทำโน่นทำนี่ไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง ลองมานั่งทบทวนดู ไปทานข้าว ไปสังสรรค์เราก็ทำได้ แต่ทำไมเวลาที่จะเรียนหรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และเป็นสาระให้แก่ชีวิตถึงทำไม่ได้ ปัจจุบันได้ข้อสรุปแล้วว่าเมื่อใจเราอยากทำจริงๆ เราก็ทำได้
อุ่น จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต พยายามที่จะหาความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพตอนนี้จะออกกำลังกาย และดูแลเรื่องอาหาการกิน เมื่อก่อนอุ่นเคยอ้วนมาก ซึ่งเราไม่ได้ว่าเป็นปมด้อย แต่ก็มีสิ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอด ตอนนั้นอายุ 15 ขวบ น้ำหนัก 62 กิโลกรัม ถือว่าอ้วนมาก พอพ่อแม่ซื้อเสื้อผ้าให้ก็จะใส่ไม่ได้เพราะอ้วนเกินไป จึงได้เริ่มหันมาดูแลตัวเองดูแลสุขภาพมากขึ้น ถ้าเราอยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรกับตัวเอง เราจะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ซึ่งอุ่นใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนทุกอย่างหมด การใช้ชีวิต พฤติกรรมการกิน
อุ่น ไม่ได้บอกว่าลดความอ้วนแบบหักโหม จะลดก็ฮวบฮาบ 5 เดือน ลดได้ 10 กิโลกรัม แต่ใช้เวลาลดมาประมาณ 10 ปีกว่าจะลดมาได้ตามที่ต้องการเริ่มลดตั้งแต่ปี 2548 ตอนนี้น้ำหนักอุ่นเท่าเดิมมานานแล้ว ตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมา น้ำหนักก็เท่าเดิม เริ่มอายุ 25-26 ปี น้ำหนักก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด ซึ่งอุ่นย้ำว่า ไม่เคยกินยาลดความอ้วนเลย แต่เราก็จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่หมด เช่น จะไม่ทานขนม หรือพวกสแน็ก และตอนเย็นจะพยายามไม่ทานแป้ง ขนม นม เนย ก็จะพยายามไม่ทาน เค้กไม่ทานเลย ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วอยากทานแล้วมาบังคับตัวเองว่าไม่ให้ทาน แต่รู้สึกจริงๆ ว่าไม่อยากทาน คือ ถ้ารู้ว่าเราทานอะไรเข้าไปแล้วไม่ดีต่อร่างกายก็จะไม่ทาน
เล่นโยคะดูแลสุขภาพฝึกจิตให้นิ่ง
การเล่นโยคะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่อุ่นชอบ ทำให้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ “ช้าลง” ฝึกสมาธิ เข้าใจถึงสัจธรรมชีวิต ทุกวันนี้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แข่งขัน จัดสรรเวลาไม่ถูกให้ความสำคัญต่อการงานมากจนลืมดูแลสุขภาพ เคยมีคนกล่าวไว้ “ทำงานหาเงินมามากเท่าไร ก็เพื่อมาใช้ในการรักษาตัว” อุ่นจึงระมัดระวังเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ใช้ชีวิตให้ช้าก็ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวเอง และมีสมาธิมากขึ้น
อุ่น ได้เรียนโยคะมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว พูดได้เลยว่าโยคะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ช่วงไหนที่มีภารกิจ หรือยุ่งเรื่องงานมากจนห่างหายจากการเล่นแค่ระยะสั้นๆ จะรู้สึกอึดอัด เหนื่อ พอได้เล่นแล้วจะสดชื่น ผ่อนคลาย โดยใช้เวลาหลังเลิกงานเล่นโยคะ เราจะได้ฝึกอะไรหลายๆ อย่าง แต่ละท่ามีความหมาย และที่สำคัญจะมีอยู่ท่าหนึ่งของโยคะที่เป็นท่าสุดท้าย อุ่นจะทำก่อนจบการเล่น คือ “ท่าศพ” (ศวาสนะ) คือ การนอนแล้วปิดตา แค่ 1- 2 นาที เหมือนเราได้ปิดทุกอย่าง ปล่อยวาง หลังจากที่ฝึกหนักมา 58 นาที คือ เราก็ไม่ได้หลับจริงๆ ยังคงมีสติอยู่ตลอดเวลา ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้สึกกับบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมรอบๆ โดยจะได้ยินเสียงคุณครู ได้ยินเสียงรอบข้าง แต่ดูเหมือนกับว่า เป็นการพักผ่อนที่เต็มที่ ในการปรับร่างกาย และจิตใจให้กลับมาสดชื่น เป็นการปิดคลาสที่ดี
ท่าศพ เป็นท่าที่ได้รับแรงบันดานใจมาจากศพจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้ว เราทุกคนก็ต้องตาย เราทุกคนก็ต้องนอนท่านี้อยู่แล้ว ทำให้เรารู้สัจธรรมของชีวิต ซึ่งเพ่งมาทราบตอนนี้ มันก็คือ การหาสมดุลของชีวิต จริงๆ แล้วชีวิตเราก็ไม่มีอะไรมาก ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย แต่อุ่นรู้สึกว่าไม่ค่อยกลัวนะ ถ้ามีวันไหนที่เราจะต้องไปก็ไป ไม่ใช่ว่าเราเด็กกว่าแปลว่าจะได้อยู่ในโลกนี้มากกว่า หรือนานกว่าพ่อแม่ หรือไปหลังคนแก่ ของแบบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนจริงๆ ต้องทำใจ
ความจริงก็เหมือนกับการใช้ชีวิตทั่วไป เวลาเรามีปัญหาแต่ก่อนเราไม่รู้ทางแก้ไข เป็นคนที่คิดมาก เมื่อได้เล่นโยคะได้ฝึกสมาธิ และได้เห็นสัจธรรมของชีวิต ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข เมื่อเรามองอย่างมีสมาธิแล้วใช้สติแก้ไขปัญหานั้นก็จะผ่านพ้นไปได้ อย่างน้อยก็เป็นการผ่อนคลายทางหนึ่ง มีสมาธิในการคิด ในการแลสุขภาพดี สมองก็จะปลอดโปร่ง มองโลกในแง่ดี ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ทุกอย่างก็จะดีเอง การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่ว่าโลกสวยไปซะทุกอย่าง แต่ต้องดูด้วย คิดว่า เราก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่นเราก็ใช้โอกาสให้เต็มที่

พอใจและมีความสุขกับทุกวัน
อุ่น ให้ความสำคัญต่อความสมดุลของชีวิต คือ ถ้าว่างมากไปก็ไม่ดี ทำงานมากไปก็ไม่ดี เราต้องหาจุดสัมพันธ์ที่เหมาะสม การทำงานถึงงานจะไปเสร็จ แต่พอได้เวลาที่อุ่นทำไม่ไหวแล้ว เพราะทำมาตั้งแต่เช้า 6 โมง ถึง 1-2 ทุ่ม ฝืนทำต่อไปก็ไม่คืบหน้าคิดงานไม่ออก งานก็ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะกลับบ้าน หรือเล่นโยคะ พักผ่อนสักพักแล้วค่อยมาเริ่มงานใหม่ก็ได้ เพราะจริงแล้วสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า ถ้าเราเริ่มจากตัวเอง รักตัวเองตั้งแต่วันนี้ แล้วอนาคตวันนั้นถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่เสียใจ โรคอ้วน คอเลสเตอรอล เราสามารถควบคุมดุแลได้ แต่ถ้าเป็นโรคแบบเฉียบพลันที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ถือว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม
เวลาของครอบครัวเราไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีกิจกรรม หรือทานข้าวพร้อมหน้ากันวันไหนเวลาใด แต่เป็นครอบครัวที่ทานข้าวด้วยกันบ่อยมาก เนื่องจากอุ่นไม่ชอบไปทานข้าวนอกบ้านตอนเย็น เพราะต้องลดความอ้วน ดูแลสุขภาพ การที่ทานอาหารที่บ้านสามารถควบคุมอาหารได้ ส่วนเวลาอื่นๆ เราก็ไปเที่ยวกันบ้าง เช่น ไปต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้งภายในครอบครัว ซึ่งตอนนี้ก็ยากกว่าเมื่อก่อนแล้ว เพราะลูกๆ เริ่มโต มีงานทำ อุ่นเองก็มีเวลาที่จำกัดในการไปเที่ยวกับครอบครัว แต่พี่น้องทุกคนยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวจึงสามารถใกล้ชิตไปเที่ยวกันได้อยู่บ้าง
คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้กดดันให้ลูกๆ มีครอบครัว หรือแต่งงาน โดยปล่อยให้เป็นอิสระมีความคิด และตัดสินใจเอง อุ่นคิดว่ามีพร้อมทุกอย่าง ทุกวันนี้ทุกอย่างที่เรามีก็สุขสบาย มีความสุขมากอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ได้เป็นคนที่ต้องการ หรือโหยหาสิ่งที่ยังไม่มี เพราะเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าสิ่งที่ยังไม่มี หรือสิ่งที่มันจะมาเป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดีกับเราหรือเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้เรามีพร้อม และมีความสุขอยู่แล้วก็เพียงพอ ดังนั้น ถ้าจะมาก็เป็นเรื่องอนาคต ซึ่งมีคนบอกว่า เป็นเรื่องของการลงทุนที่มีความเสี่ยง เมื่อปัจจุบันมั่นคงเพียงพอแล้วจะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปิดกันตัวเอง คือ มองว่าถ้าจะมีก็มีเข้ามาเอง ไม่ได้มองว่าเป็นสาระสำคัญต่อชีวิต
อุ่น กลับมาเริ่มต้นการทำงานประชาสัมพันธ์ที่ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นช่วงของการเรียนรู้ชีวิตการทำงาน เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งก็ตัดสินใจลงเรียน MBA ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นใบปริญญาที่ภาคภูมิใจ และมีความสุขที่สุดในชีวิต อุ่น ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเพื่อนๆ ในห้องหลายเท่า เพราะไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านธุรกิจเลย ใบปริญญา MBA อันนี้บอกเลยว่า มีความภาคภูมิใจมาก และอีกอย่างหนึ่งคือ ความสุขใจที่ได้ถ่ายรูปกับครอบครัว เพราะเวลาที่ได้รับปริญญาที่เมืองนอกไม่ได้ถ่ายรูปครบทั้งครอบครัวแบบนี้เลย อันนี้คือญาติมาเต็มมาก มาทุกคนเลย รู้สึกว่าเป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่อยากมีมานานแล้ว
ปัจจุบัน ได้ลงเรียนหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอกประชาธิปไตร (ปนป.) รุ่นที่ 5 เป็นหลักสูตรรุ่นเด็กน้อย ของสถาบันพระปกเกล้า เรียนทุกวันเสาร์เต็มวัน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่แตกต่างกับศศินทร์อย่างสิ้นเชิง โดยหลักสูตร ปนป.จะมีกิจกรรมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องนอกเหนือจากการเรียน อุ่นสนใจอยากจะเรียนหลักสูตรนี้ตั้งนานแล้ว เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ติดด้วยเวลา และภาระหน้าที่ ตอนนี้สามารถจัดสรรเวลาได้ลงตัวจึงได้สมัครเรียน เพราะต้องการที่จะรู้จักคนมากมายหลากหลายอาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยปกติเวลาทำงานอาจจะเจอคนในแวดวงธนาคาร หรือประกันฯ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำกันมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ที่เป็นทั้งนักการเงิน ประกันมาตลอด จึงไม่ได้เจอคนที่หลากหลายปรเภทมากเท่าไร
การเรียนที่พระปกเกล้า เหมือนกับเรียนเพื่อหาสังคม จะมีกิจกรรมเยอะมาก ทำให้ผ่อนคลาย มีการแต่งตัว สังสรรค์ พบเพื่อนใหม่หลายวงการ ทหาร ตำรวจ ไม่คิดว่าจะคุยกันได้ เพราะข้าราชการก็มาอีก Culture หนึ่ง สั่งอย่างเดียว ไม่ฟัง คุณต้องทำตาม คือ มาเรียนทุกคนต้องถอดหมวก ก็เป็นอะไรที่สนุก มีความสุขอีกแบบหนึ่ง
การเรียนพระปกเกล้าทำให้อุ่นเรียนรู้ว่า ถ้าจะจัดสรรเวลาเราก็ทำได้ เมื่อก่อนอุ่นจะชอบพูด และให้เหตุผลที่เข้าข้างตัวเองเสมอว่าไม่มีเวลา ทำโน่นทำนี่ไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง ลองมานั่งทบทวนดู ไปทานข้าว ไปสังสรรค์เราก็ทำได้ แต่ทำไมเวลาที่จะเรียนหรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และเป็นสาระให้แก่ชีวิตถึงทำไม่ได้ ปัจจุบันได้ข้อสรุปแล้วว่าเมื่อใจเราอยากทำจริงๆ เราก็ทำได้
อุ่น จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต พยายามที่จะหาความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพตอนนี้จะออกกำลังกาย และดูแลเรื่องอาหาการกิน เมื่อก่อนอุ่นเคยอ้วนมาก ซึ่งเราไม่ได้ว่าเป็นปมด้อย แต่ก็มีสิ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอด ตอนนั้นอายุ 15 ขวบ น้ำหนัก 62 กิโลกรัม ถือว่าอ้วนมาก พอพ่อแม่ซื้อเสื้อผ้าให้ก็จะใส่ไม่ได้เพราะอ้วนเกินไป จึงได้เริ่มหันมาดูแลตัวเองดูแลสุขภาพมากขึ้น ถ้าเราอยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรกับตัวเอง เราจะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ซึ่งอุ่นใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนทุกอย่างหมด การใช้ชีวิต พฤติกรรมการกิน
อุ่น ไม่ได้บอกว่าลดความอ้วนแบบหักโหม จะลดก็ฮวบฮาบ 5 เดือน ลดได้ 10 กิโลกรัม แต่ใช้เวลาลดมาประมาณ 10 ปีกว่าจะลดมาได้ตามที่ต้องการเริ่มลดตั้งแต่ปี 2548 ตอนนี้น้ำหนักอุ่นเท่าเดิมมานานแล้ว ตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมา น้ำหนักก็เท่าเดิม เริ่มอายุ 25-26 ปี น้ำหนักก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด ซึ่งอุ่นย้ำว่า ไม่เคยกินยาลดความอ้วนเลย แต่เราก็จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่หมด เช่น จะไม่ทานขนม หรือพวกสแน็ก และตอนเย็นจะพยายามไม่ทานแป้ง ขนม นม เนย ก็จะพยายามไม่ทาน เค้กไม่ทานเลย ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วอยากทานแล้วมาบังคับตัวเองว่าไม่ให้ทาน แต่รู้สึกจริงๆ ว่าไม่อยากทาน คือ ถ้ารู้ว่าเราทานอะไรเข้าไปแล้วไม่ดีต่อร่างกายก็จะไม่ทาน
เล่นโยคะดูแลสุขภาพฝึกจิตให้นิ่ง
การเล่นโยคะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่อุ่นชอบ ทำให้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ “ช้าลง” ฝึกสมาธิ เข้าใจถึงสัจธรรมชีวิต ทุกวันนี้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แข่งขัน จัดสรรเวลาไม่ถูกให้ความสำคัญต่อการงานมากจนลืมดูแลสุขภาพ เคยมีคนกล่าวไว้ “ทำงานหาเงินมามากเท่าไร ก็เพื่อมาใช้ในการรักษาตัว” อุ่นจึงระมัดระวังเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ใช้ชีวิตให้ช้าก็ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวเอง และมีสมาธิมากขึ้น
อุ่น ได้เรียนโยคะมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว พูดได้เลยว่าโยคะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ช่วงไหนที่มีภารกิจ หรือยุ่งเรื่องงานมากจนห่างหายจากการเล่นแค่ระยะสั้นๆ จะรู้สึกอึดอัด เหนื่อ พอได้เล่นแล้วจะสดชื่น ผ่อนคลาย โดยใช้เวลาหลังเลิกงานเล่นโยคะ เราจะได้ฝึกอะไรหลายๆ อย่าง แต่ละท่ามีความหมาย และที่สำคัญจะมีอยู่ท่าหนึ่งของโยคะที่เป็นท่าสุดท้าย อุ่นจะทำก่อนจบการเล่น คือ “ท่าศพ” (ศวาสนะ) คือ การนอนแล้วปิดตา แค่ 1- 2 นาที เหมือนเราได้ปิดทุกอย่าง ปล่อยวาง หลังจากที่ฝึกหนักมา 58 นาที คือ เราก็ไม่ได้หลับจริงๆ ยังคงมีสติอยู่ตลอดเวลา ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้สึกกับบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมรอบๆ โดยจะได้ยินเสียงคุณครู ได้ยินเสียงรอบข้าง แต่ดูเหมือนกับว่า เป็นการพักผ่อนที่เต็มที่ ในการปรับร่างกาย และจิตใจให้กลับมาสดชื่น เป็นการปิดคลาสที่ดี
ท่าศพ เป็นท่าที่ได้รับแรงบันดานใจมาจากศพจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้ว เราทุกคนก็ต้องตาย เราทุกคนก็ต้องนอนท่านี้อยู่แล้ว ทำให้เรารู้สัจธรรมของชีวิต ซึ่งเพ่งมาทราบตอนนี้ มันก็คือ การหาสมดุลของชีวิต จริงๆ แล้วชีวิตเราก็ไม่มีอะไรมาก ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย แต่อุ่นรู้สึกว่าไม่ค่อยกลัวนะ ถ้ามีวันไหนที่เราจะต้องไปก็ไป ไม่ใช่ว่าเราเด็กกว่าแปลว่าจะได้อยู่ในโลกนี้มากกว่า หรือนานกว่าพ่อแม่ หรือไปหลังคนแก่ ของแบบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนจริงๆ ต้องทำใจ
ความจริงก็เหมือนกับการใช้ชีวิตทั่วไป เวลาเรามีปัญหาแต่ก่อนเราไม่รู้ทางแก้ไข เป็นคนที่คิดมาก เมื่อได้เล่นโยคะได้ฝึกสมาธิ และได้เห็นสัจธรรมของชีวิต ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข เมื่อเรามองอย่างมีสมาธิแล้วใช้สติแก้ไขปัญหานั้นก็จะผ่านพ้นไปได้ อย่างน้อยก็เป็นการผ่อนคลายทางหนึ่ง มีสมาธิในการคิด ในการแลสุขภาพดี สมองก็จะปลอดโปร่ง มองโลกในแง่ดี ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ทุกอย่างก็จะดีเอง การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่ว่าโลกสวยไปซะทุกอย่าง แต่ต้องดูด้วย คิดว่า เราก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่นเราก็ใช้โอกาสให้เต็มที่
พอใจและมีความสุขกับทุกวัน
อุ่น ให้ความสำคัญต่อความสมดุลของชีวิต คือ ถ้าว่างมากไปก็ไม่ดี ทำงานมากไปก็ไม่ดี เราต้องหาจุดสัมพันธ์ที่เหมาะสม การทำงานถึงงานจะไปเสร็จ แต่พอได้เวลาที่อุ่นทำไม่ไหวแล้ว เพราะทำมาตั้งแต่เช้า 6 โมง ถึง 1-2 ทุ่ม ฝืนทำต่อไปก็ไม่คืบหน้าคิดงานไม่ออก งานก็ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะกลับบ้าน หรือเล่นโยคะ พักผ่อนสักพักแล้วค่อยมาเริ่มงานใหม่ก็ได้ เพราะจริงแล้วสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า ถ้าเราเริ่มจากตัวเอง รักตัวเองตั้งแต่วันนี้ แล้วอนาคตวันนั้นถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่เสียใจ โรคอ้วน คอเลสเตอรอล เราสามารถควบคุมดุแลได้ แต่ถ้าเป็นโรคแบบเฉียบพลันที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ถือว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม
เวลาของครอบครัวเราไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีกิจกรรม หรือทานข้าวพร้อมหน้ากันวันไหนเวลาใด แต่เป็นครอบครัวที่ทานข้าวด้วยกันบ่อยมาก เนื่องจากอุ่นไม่ชอบไปทานข้าวนอกบ้านตอนเย็น เพราะต้องลดความอ้วน ดูแลสุขภาพ การที่ทานอาหารที่บ้านสามารถควบคุมอาหารได้ ส่วนเวลาอื่นๆ เราก็ไปเที่ยวกันบ้าง เช่น ไปต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้งภายในครอบครัว ซึ่งตอนนี้ก็ยากกว่าเมื่อก่อนแล้ว เพราะลูกๆ เริ่มโต มีงานทำ อุ่นเองก็มีเวลาที่จำกัดในการไปเที่ยวกับครอบครัว แต่พี่น้องทุกคนยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวจึงสามารถใกล้ชิตไปเที่ยวกันได้อยู่บ้าง
คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้กดดันให้ลูกๆ มีครอบครัว หรือแต่งงาน โดยปล่อยให้เป็นอิสระมีความคิด และตัดสินใจเอง อุ่นคิดว่ามีพร้อมทุกอย่าง ทุกวันนี้ทุกอย่างที่เรามีก็สุขสบาย มีความสุขมากอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ได้เป็นคนที่ต้องการ หรือโหยหาสิ่งที่ยังไม่มี เพราะเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าสิ่งที่ยังไม่มี หรือสิ่งที่มันจะมาเป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดีกับเราหรือเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้เรามีพร้อม และมีความสุขอยู่แล้วก็เพียงพอ ดังนั้น ถ้าจะมาก็เป็นเรื่องอนาคต ซึ่งมีคนบอกว่า เป็นเรื่องของการลงทุนที่มีความเสี่ยง เมื่อปัจจุบันมั่นคงเพียงพอแล้วจะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปิดกันตัวเอง คือ มองว่าถ้าจะมีก็มีเข้ามาเอง ไม่ได้มองว่าเป็นสาระสำคัญต่อชีวิต