ชยันต์ อัคราทิตย์ กรรการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด เดินเข้าฟิตเนสออกกำลังกายอย่างจริงจัง เมื่อได้เสียคนในครอบครัวอันเป็นที่รัก พี่ชายคนรองได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่กำลังพุ่งขึ้นสูงสุด กิจการรุ่งเรือง มีออเดอร์สินค้าจากเมืองจีนจำนวนมากจนผลิตไม่ทัน เติบโตก้าวกระโดดเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ฉุกคิดว่าชีวิตคนเราทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมีฐานะที่มั่นคงดูแลครอบครัวได้อย่างสุขสบาย จนลืมดูแลสุขภาพเมื่อเกิดอะไรขึ้น อะไหล่ชีวิตไม่สามารถหามาทดแทนได้ หาเงินมามากเท่าไรก็ไม่สามารถใช้ได้ เงินจึงไม่มีประโยชน์เท่ากับการมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ชยันต์ เป็นผู้บริหารที่อยู่ในวงการโบรกเกอร์เกือบ 30 ปี เริ่มเข้าวงการตั้งแต่ปี 2532 ปัจจุบันอายุ 56 ปี จบปริญญาโท - MBA Operation Management สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ประกาศนียบัตร DAP รุ่นที่ 64/2007 สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ผ่านมาหลายแห่ง ขึ้นเป็นผู้บริหารหลายปี ระดับผู้ช่วยกรรมการ บล.เอเซีย พลัส จนถึงปี 2549 ในปี 2549-2554 เป็นกรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป(ประเทศไทย) ปี2554-2557 กรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และปัจจุบัน กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ดูจากประสบการณ์แล้วนับว่าไม่ธรรมดา
ชยันต์ เป็นหนึ่งในทีมที่ร่วมกันทำธุรกิจโบรกเกอร์น้องใหม่ บล.เอเชีย เวลท์ ซึ่งก่อตั้งในช่วงที่ตลาดทุนผันผวนหนัก และไม่สดใสเท่าที่ควร มีการแข่งขันสูง ทำให้ต้องทำงานหนักเพื่อดูแลผู้ถือหุ้น พนักงาน และลูกค้า แต่ชยันต์ ยังสมารถแบ่งเวลาออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายจากงานศุกร์-เสาร์ นัดเพื่อนๆ ออกมาพบปะพูดคุยเฮฮา คุยกันได้ทุกเรื่อง ทำให้ชยันต์ ดูเป็นคนที่แข็งแรง หน้าตาสดใส
ชยันต์ เล่าให้ฟังด้วยหน้าตายิ้มแย้มถึงการออกกำลังกายว่า ส่วนใหญ่จะแบ่งเวลาไว้ จันทร์ อังคาร พุธ พยายามเข้าฟิตเนส พฤหัสฯ ต่อยมวย ศุกร์-เสาร์ สังสรรค์กับเพื่อน อาทิตย์ไปหาคุณแม่ ซึ่งพยายามที่จะจัดตารางไว้คร่าวๆ นอกเหนือจากนี้ก็อาจจะมีงานด่วน หรืองานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงเย็น ให้เวลาเข้าฟิตเนส 3 วันต่อสัปดาห์ พยายามให้ได้มากที่สุด 1 ใน ใน 3 และโอกาสน้อยมากที่ทำได้ 3 ใน 3 ประมาณ 4-5 เดือนกว่าจะทำได้ครบ 3 วันใน 1 สัปดาห์ ทำอย่างนี้มาประมาณ 5 ปี และตั้งใจว่าจะออกกำลังกายตามตารางแบบนี้ต่อไปจนกว่าร่างกายจะไม่ไหว
โดยแบ่งเวลาทำงานออฟฟิศตามปกติเริ่มงาน 08.30-09.30 น. เลิกงาน 16.30-17.30 น.พยายามจัดเวลาให้ได้อย่างนี้ทุกวัน พอเลิกงานก็เข้าฟิตเนสเลยใช้เวลาของการเข้าคอร์สกับเทรนเนอร์ประมาณ 1 ชั่วโมง ที่เหลือเป็นการวอร์มร่างกาย ถึงแม้ว่าการเข้าฟิตนิสออกกำลังกายจะไม่ได้ตอบโจทย์ทุกอย่าง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย โดยคาดหวังแค่ระบบภายในร่ากาย ปอดกับหัวใจให้แข็งแรงเข้าไว้ก่อน อย่างอื่นดูแลไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไปตามสภาพ
ชกมวยช่วยระบายเครียด
วันพฤหัสฯ ชกมวย ใช้เวลาในการเรียนจริงๆ ชั่วโมงครึ่ง แต่ต่อยจริงๆ หมายถึงการลงนวมชกกับครูฝึกที่จะเป็นเป้าให้เราชก โดยเป็นการชกอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ต่อยแบบต่อสู้ แบบนั้นคงไม่ไหวตายไปนานแล้ว ดังนั้น จริงๆ ชก แค่ 3 ยก ยกละ 5 นาที ทั้งหมด 15 นาที แค่นี้ก็เหนื่อยมาก แทบตายแล้ว เพราะต้องออกกำลังกายทุกส่วน นอกนั้นในช่วงระยะเวลาชั่วโมงครึ่งนั้นจะมีการวอร์มร่างกาย มีการซ้อมท่าอีกหลายขั้นตอน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนก็สามารถเรียกเหงื่อได้ทั้งสิ้น เป็นการออกกำลังกายที่เหนื่อยมากแต่ก็สนุก นอกจากนี้ การชกมวยเป็นการระบายที่ดีเยี่ยม หลังจากชกมวยแล้วจะรู้สึกสดชื่นมาก
ตอนนี้อายุ 56 ปี คิดอยากที่จะเกษียณ แต่ยังมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ดูแลเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ดังนั้น ก็จะต้องทำงานต่อไป โดยใช้เวลาต่อการทำงานให้มีความสุข อย่าเครียดกับงานมากเกินไป ถึงแม้ว่างานจะเครียดก็พยายามทำตัวไม่ให้เครียด ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไขปัญหา ซึงก็เปรียบเหมือนได้ออกกำลังสมองไปแล้ว พอออกจากที่ทำงานแล้วจึงพยายามที่จะไม่คุยเรื่องงานอีก ไปออกกำลังด้านอื่นบ้าง ซึ่งก็มีบ่อยครั้งที่ทำไม่ค่อยได้ แต่จะพยายามทำเพื่อดูแลสุขภาพ ให้มีกำลังต่อสู้ และแก้ไขปัญหาได้ต่อไป ซึ่งการออกกำลังกายจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยได้ดีที่สุด
ส่วนเรื่องอาหารการกินได้ดูแลบ้าง ยิ่งอายุมากยิ่งขึ้นก็ต้องพยายาม โดยจะทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ทานแป้งให้น้อยลง น้ำตาลน้อยที่สุด อาหารที่ชื่นชอบคือ ไข่ ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ จะเป็นไข่ที่นำมาเป็นวัตถุดิบทำอาหารอะไรก็ตามใจชอบทานทุกอย่าง วันหนึ่งสามารถทานได้เกือบ 3 ฟอง โดยไม่กลัวที่จะมีคอเลสเตอรอล ทานมาตั้งแต่เด็กยังไม่เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพเลย การตรวจร่ายกายประจำทุกๆ ปี ไม่มีปัญหาคอเลสเตอรอล มีแต่เรื่องความดันโลหิตสูง อาจจะมาจากสาเหตุของลักษณะงาน และอายุที่มากขึ้น โดยที่บ้านคนในครอบครัวพี่น้องก็เป็นโรคนี้กันทุกคน อย่างอื่นๆ ถือว่าอยู่ในเกณณ์ปกติ
บริหารโบรกเกอร์น้องใหม่ บล.เอเชีย เวลท์
บรรดาพี่น้อง 5 คน มีพี่ชายคนที่เสียชีวิตได้ทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งทุกวันนี้ครอบครัวของพี่ชายได้สานต่อดำเนินธุรกิจต่อไป นอกนั้นก็มาทำงานบริษัท โดยส่วนตัวทำงานในตลาดทุนมามากกว่า 30 ปี มองเห็นความไม่ค่อยยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบระหว่างผู้ที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในธุรกิจหลักทรัพย์หลักๆ เรียกว่า “ผู้เล่น” ซึ่งจริงๆ ประกอบด้วย 1.ตัวบริษัทโบรกเกอร์ 2.พนักงาน และ3.ลูกค้า ซึ่งไม่นับหน่วยงานทางการที่กำกับดูแลควบคุมอยู่ข้างนอก ถ้าพูดถึงผู้เล่นหลัก 3 ส่วนนี้เป็นรูปของการแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง 3 ส่วน คนเสียประโยนช์มากที่สุดมักจะมีอยู่ 2 ฝ่ายคือ ลูกค้า และพนักงาน คนที่ได้ประโยชน์จะเป็นตัวโบรกเกอร์
โดยยุคแรกๆ เรามักจะได้ยินคำว่าโบรกเกอร์พวกมนุษย์ทองคำ เพราะเกิดขึ้นมาจากผลประโยชน์ที่ส่วนใหญ่อยู่ที่บริษัทโบรกเกอร์ และตัวพนักงานก็พอได้รับผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานได้มากก็แปลว่าบริษัทนั้นๆ รวย มีผลประกอบการที่ดี มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น คนที่เสียเปรียบในช่วงนั้นก็คือ ลูกค้า
หลังจากที่เริ่มมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน (ความจริงแค่กึ่งๆ) อัตราค่าคอมมิชชันของบริษัทหลักทรัพย์ลดลง สิ่งที่บริษัทจะพยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัทเอาไว้ คือ พยายามลดผลประโยชน์ตัวพนักงานไว้ก่อน ตัวบริษัท หรือตัวผู้บริหารระดับสูงเองไม่ยอมลดผลตอบแทนลง พยายามที่จะออกกฎระเบียบต่างๆ ที่เอารัดเอาเปรียบพนักงานอยู่เสมอ บางครั้งใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาออกกฎระเบียบควบคุม ซึ่งปัจุบันกฎระเบียบต่างๆ ยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้ ด้วยภาพแบบนี้เห็นมานาน เริ่มรู้สึกไม่ใช่ อึดอัดต่อพฤติกรรม คิดว่าสักวันจะทำงานในบริษัทที่ 3 ฝ่ายอยู่ได้โดยไม่ต้องเอารัดเอาเปรียบกัน แบ่งผลประโยชน์ที่ยุติธรรม พนักงานอยู่อย่างมีความสุข บริษัทพอมีกำไรอยู่ได้ ผู้ถือหุ้นก็ได้ผลตอบแทนพอสมควร ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับผลประโยชน์มากกว่าคนอื่นๆ แล้วอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ ที่ผู้บริหารเข้าใจพนักงาน พนักงานเข้าใจผู้บริหารทำงานกันแบบสบายๆ
ดังนั้น จึงได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนพนักงาน ซึ่งต่างคนต่างก็อยู่ในวงการมานาน และมีความเห็นที่ตรงกัน สนใจที่จะเปิดธุรกิจหลักทรัพย์ในฝันของเรา จึงได้เข้ามาปรึกษากับ ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต และท่านได้อยู่ในวงการตลาดทุนมานานมาก และได้มีธุรกิจ เกี่ยวกับเวลท์อยู่แล้ว จึงสนับสนุนเห็นด้วยต่อโครงการของทีม ดังนั้น จึงได้ลุยเขียนเป็นโครงการอย่างจริงจัง ออกโรดโชว์เพื่อหาผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมทุน ซึ่งได้มีผู้มีพระคุณมา 3-4 ราย ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้นำเงินก้อนนั้นไปเจรจาหาซื้อใบอนุญาติประกอบธุรกิจ (ไลเซนส์)ห ลักทรัพย์ ซึ่งก็โชคดีที่ช่วงนั้นก็ได้มีไลเซนส์ บล.เอกชาตเ ดิมซึ่งทางซีไอเอ็มบีขายให้ไลเซนส์มาให้
ช่วงนี้เริ่มทำธุรกิจ ป็นช่วงที่ตลาดทุนธุรกิจโบรกเกอร์ย่ำแย่ เอเชีย เวลท์ ตั้งมาปลายปี 2556 ในปี2557 เป็นช่วงที่พนักงานเริ่มทยอยเข้ามารวมตัวกัน ย้ายเข้ามาทำงานด้วยกันกว่าจะครบทีมและเริ่มลุยธุรกิจจริงๆ ก็จะเป็นปลายปี พอเริ่มขึ้นปี 2558 ตลาดทุน และโบรเกอร์โดยรวมสดใส ดูดีได้ 2 เดือน หลังจากนั้นก็แย่ลงมาตลอดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งเราก็สามารถผ่านช่วงวิกฤตมาได้ตลอด เพราะมีพนักงานที่เข้ามาร่วมทีมกับพวกเราเป็นพนักงานที่มีคุณภาพสูง ทำให้ผลประกอบการจึงไม่ค่อยตกมากตามภาวะตลาด ผลประกอบการยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เมื่อเทียบกับภาวะวิกฤต และโบรกเกอร์น้องใหม่แล้ว เป็นที่น่าพอใจ เอเชีย เวลท์ มีมาเกตแชร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง