xs
xsm
sm
md
lg

กลยุทธ์โตด้วยการ “เทกโอเวอร์” ของ “เจริญ สิริวัฒนภักดี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลายปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของไทยต่างหันมาใช้วิธีการเทกโอเวอร์ หรือควบรวมกิจการกันมากขึ้น เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ในการเร่งรัดการเติบโตของกิจการแบบ Inorganic Growth ไม่รอเพียงแค่ผลประกอบการที่โตไปตามขั้นตอน

แต่มีกลุ่มทุนหนึ่งที่มุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายกิจการด้วยการเทกโอเวอร์เพียงอย่างเดียว นั่นคือ “กลุ่มสิริวัฒนภักดี” ที่สร้างตัวขึ้นมาจากธุรกิจสุรา ก่อนขยายมายังธุรกิจเบียร์ภายใต้แบรนด์ตราช้าง จากนั้นก็ขยายออกไปทำอย่างอื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ (โดยร่วมทุนกับกลุ่ม Capital Land ของสิงคโปร์) และเป็นเจ้าของที่ดีผืนงามจำนวนมาก

มีคำกล่าวว่า “เจริญ สิริวัฒนภักดี” เคยนั่งรถผ่านที่ดินผืนหนึ่งแล้วติดใจจึงหันไปสั่งผู้ติดตามว่าให้ไปสืบมาว่าที่ดินผืนนี้ใครเป็นเจ้าของ...คำตอบคือ ที่ดินตรงนั้นเป็นของเขาอยู่แล้ว (สรุปคือ เป็นเจ้าของที่ดินเยอะจนไม่รู้ว่ามีผืนไหนบ้าง)

เรื่องราวของคุณเจริญ น่าทึ่งอย่างมาก เขาเป็นเศรษฐีเพียงแค่ไม่กี่คนของประเทศที่เป็น Bilionare ได้ในช่วงอายุของตัวเอง (คือพ่อไม่ได้รวยมาก่อนนั่นเอง) แม้ว่าพ่อตาจะเป็นผู้สนับสนุนให้ตั้งตัวได้ แต่หลักๆ แล้วเขาเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งมาด้วยตัวเอง

หลังจากสร้างตัวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศ เจริญ เริ่มต้นกลยุทธ์การไล่ซื้อกิจการโดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจค้าปลีกอย่างเบอร์ลี่ยุคเกอร์ บริษัทที่มีอายุกว่าร้อยปี ใช้เป็นเครือข่ายจัดจำหน่ายสินค้าในเครือ, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้าเทกโอเวอร์บริษัทยูนิเวนเจอร์ (UV) จากเดิมทำธุรกิจสังกะสีก็เป็นอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว และที่ฮือฮาที่สุดคือ เข้าซื้อบริษัทโออิชิ ต่อจากผู้ก่อตั้งคือ “ตัน ภาสกรนที” จนได้พอร์ตของเครื่องดื่ม Non Algohol นั่นคือชาเขียว ตลอดจนอาหารญี่ปุ่นเข้ามา และล่าสุด กับการเข้าซื้อกิจการห้างบิ๊กซี

ที่น่าสนใจคือ แม้กลุ่มสิริวัฒนภักดี จะมีการถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก แต่ไม่มีธุรกิจหลักของตระกูลนั่นคือ ธุรกิจเบียร์ (อันนี้โดนต่อต้านจนไม่ได้เข้า แม้จะจดทะเบียนในสิงคโปร์แต่ก็มีฟรีโฟลตต่ำมาก) รวมถึงอสังหาริมทรัพย์นั่นคือ TCC Land อยู่ในตลาดหุ้นแต่อย่างไร
นเรศ เหล่าพรรณราย
หากวิเคราะห์เกมนี้ คาดเดาว่า กลุ่มสิริวัฒนภักดีไม่ต้องการแบ่งความมั่งคั่งหลักนี้ให้คนอื่นมาเป็นเจ้าของร่วม เช่นเดียวกับตระกูลเจียรวนนท์ ที่ไม่ได้นำซีพีกรุ๊ปเข้ามาในตลาดหุ้น แต่มีธุรกิจอื่นๆ อย่าง CPF, CPALL, TRUE อยู่ในตลาดหุ้น ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ ก็ไม่ได้นำห้างเซ็นทรัล (ร้านค้าส่วนที่อยูในห้างซึ่งเป็นคนละส่วนกับ CPN ที่บริหารพื้นที่นอกห้าง) เข้าตลาดหุ้น

ล่าสุด กับการเพิ่มทุนให้แก่เบอร์ลี่ยุคเกอร์แบบ RO หรือให้ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นผู้เพิ่มทุนเป็นการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มสิริวัฒนภักดี ต้องการ “ยืมเงิน” จากผู้ถือหุ้นทั่วไปมาใช้เพิ่มมูลค่ากิจการของตัวเอง แน่นอนว่ากลุ่มของคุณเจริญก็ต้องควักกระเป๋าด้วยเหมือนกันในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ก็ถือว่าได้รายย่อย และอาจจะมีนักลงทุนสถาบันมาช่วยแบ่งเบาไปได้เยอะ ขณะที่ความมั่งคั่งหลักในหุ้นไทยเบฟเวอเรจ และทีซีซีแลนด์ ไม่ถูกกระทบไปมาก

หากกลุ่มสิริวัฒนภักดียังคงใช้กลยุทธ์เงินต่อเงินแบบนี้ก็จะมีเรี่ยวแรงไปไล่ซื้อกิจการได้อีกเรื่อยๆ โดยอาศัยผู้ถือหุ้นรายย่อยช่วยออกแรงอีกต่อหนึ่ง ถ้าสำเร็จก็ดีไปรวยกันทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าล้มเหลว ดูจะเป็นฝ่ายรายย่อยที่น่าจะ “เจ็บ” มากกว่า


นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง
 


กำลังโหลดความคิดเห็น