สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เผยระบบสถาบันการเงินไทยยังคงมีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ณ สิ้นปี 58 ทั้งระบบมีฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไรเข้าเป็นเงินกองทุน ชั้นที่ 1 เพิ่มขึ้นเป็น 14.60% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 ลดลงเหลือ 2.87% ขณะกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ณ สิ้นปี 58 มี 1.13 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,604 ล้านบาท โดยปี 58 ได้รับเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองทั้งสิ้น 1,155 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาสู่มาตรฐานสากลของระบบคุ้มครองเงินฝากที่ดี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า ปี 58 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยายตัว 2.8% เพิ่มขึ้นจาก 0.8% ในปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการบริโภคภาครัฐขยายตัว 2.2% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวสูงที่ 29.8% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง 2.1% โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 59 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น 3.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.2-4.2%) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวประชารัฐ การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง และกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปี 59 ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินในปี 58 ถือว่าระบบสถาบันการเงินยังคงมีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่ง ณ สิ้นปี 58 สถาบันการเงินทั้งระบบมีฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไรเข้าเป็นเงินกองทุน ซึ่งในปี 58 สถาบันการเงินมีกำไรสุทธิ 1.93 แสนล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 17.45% จาก16.83% ในปีก่อน และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier-1 Ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 14.60% จาก 13.75% ในปีก่อน
ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 (Tier-2 Ratio) ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยเป็น 2.87% จากการทยอยลดการนับเข้าเป็นเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านสภาพคล่องระบบสถาบันการเงินมีอัตราสภาพคล่อง 24.67% สูงกว่าอัตรา 6% ที่กฎหมายกำหนดอยู่มาก สำหรับสินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 58 มี 13.23 ล้านล้านบาท แต่มีอัตราการขยายตัวชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดย ณ สิ้นปี 2558 สินเชื่อขยายตัวได้ 2.71% จากปี 57 ที่ขยายตัว 4.30% ด้านสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.56% จาก 2.16% ในปีก่อน ขณะที่เงินสำรองสำหรับสินเชื่ออยู่ที่ 4.43 แสนล้านบาท หรือ 131% ของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ดังนั้น แม้ว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะเพิ่มสูงขึ้นบ้างแต่ไม่มากนัก และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะ และความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน สำหรับเงินฝาก ณ สิ้นปี 58 มีจำนวนทั้งสิ้น 12.31 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.46% จากสิ้นปี 57 ขณะที่้ฐานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ณ สิ้นปี 58 มี 1.13 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,604 ล้านบาท โดยในปี 58 ได้รับเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองทั้งสิ้น (อัตรา 0.01% ต่อปีของยอดเงินฝาก) 1,155 ล้านบาท ทั้งนี้ สถาบันได้นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงตามที่กฎหมายกำหนด เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน เป็นต้น เพื่อให้กองทุนมีความมั่นคง และมีสภาพคล่อง รวมทั้งได้รับผลตอบแทนที่ดี
ทั้งนี้ สถาบันมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เป็นที่เชื่อถือ เสริมสร้างความมั่นคงระบบสถาบันการเงิน และสร้างความมั่นใจของประชาชน โดยที่ผ่านมา ได้มุ่งเน้นพัฒนาโครงการด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นตามบทบาทหน้าที่ และพันธกิจที่กฎหมายกำหนด ซึ่งครอบคลุมงานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก การจัดทำแนวทางการปฏิบัติงาน และประสานความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สถาบันและธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถปฏิบัติงานตามพันธกิจของสถาบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ฝากเงิน การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับระบบคุ้มครองเงินฝากทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนผู้ฝากเงินและเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินมีความเข้าใจ และเชื่อมั่นในระบบคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งถือเป็นมาตรการของรัฐในการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน เป็นต้น
สำหรับปี 59 สถาบันมุ่งเน้นพัฒนาระบบงานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องให้มีความพร้อมในการดำเนินงานตามพันธกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาสู่มาตรฐานสากลของระบบคุ้มครองเงินฝากที่ดี โดยสถาบันจะดำเนินการในด้านต่างๆ ที่สำคัญ คือ พัฒนาระบบปฏิบัติงานของสถาบันในการจ่ายคืนผู้ฝากให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมรับและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และสอดคล้องต่อมาตรฐานสากล เสริมสร้างความมั่นคงของกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ประเมินความสอดคล้องการดำเนินงานระบบคุ้มครองเงินฝากของไทยกับหลักการสากล เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ทัดเทียม มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นต้น รวมทั้งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารความรู้ เพื่อให้ผู้ฝากเงินมีความเข้าใจ และเกิดความเชื่อมั่นในระบบการคุ้มครองเงินฝาก และความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินอันจะเสริมสร้างความมั่นใจของประชาชนต่อระบบการเงินของประเทศยิ่งขึ้นต่อไป