บล.กสิกรไทย เผยค่าเงินบาทได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินหยวนเล็กน้อย มองตลาดหุ้นไทยจ่อปรับฐานช่วงเดือน ก.พ.นี้ คาดน่าจะฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังปี 59 พร้อมระบุช่วงไตรมาส 1/59 ยังมีปัจจัยกดดันเกี่ยวกับค่าเงินหยวนอ่อนค่า เป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าตาม โดยจะเห็นได้ว่าช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มากจากปัจจัยภายนอก และยังเป็นช่วงขาลง พร้อมมองภาพรวมทั้งปี เคลื่อนไหวในกรอบ 1,150-1,460 จุด
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS กล่าวว่า ค่าเงินบาทได้รับผลกระทบจากการความผันผวนของเศรษฐกิจจีนเล็กน้อย แต่ค่าเงินบาทยังค่อนข้างนิ่ง โดยอ่อนค่าลง 10-20 สตางค์ต่อดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.59 จะมีการปรับฐานจากความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 1/59 ที่คาดว่าในเดือน มี.ค.ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุน โดยคาดว่าจะเห็นความแรงกดดันมากขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.คงจะมีการปรับฐานที่ชัดเจน แต่หลังจากเฟดประกาศแล้วก็เชื่อว่าจะทำให้ตลาดคลายความกังวลลง
“ตลาดหุ้นก่อนการขึ้นดอกเบี้ยโดยปกติจะตอบสนองในเชิงลบก่อน แต่หลังจากขึ้นไปแล้วตลาดก็จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเราคาดว่าในเดือนมีนาคมนี้ สหรัฐฯ มีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่าเดือนมกราคม เพราะสหรัฐฯ เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน เดือนมกราคมอาจจะยังเร็วไปที่จะปรับขึ้น ซึ่งการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยจะสงผลกดดันตลาด และทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานในช่วงเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์นี้”
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1/59 ยังมีปัจจัยกดดันเกี่ยวกับค่าเงินหยวนอ่อนค่า เป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าตาม โดยจะเห็นได้ว่าช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มากจากปัจจัยภายนอก และยังเป็นช่วงขาลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นหลังตลาดรับข่าวปัจจัยภายนอกไปมากแล้ว แต่จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นที่ไม่แรงมาก และยังมีความผันผวนอยู่บ้าง เพราะต้องรอดูผลลัพธ์ของการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ และเศรษฐกิจจีนจะยังชะลอหรือไม่หลังการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่แนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเป็นการฟื้นตัวแบบช้าๆ
ส่วนในประเทศปีนี้ถือว่ามีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น หลังภาครัฐเร่งการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนผลกระทบจากภัยแล้งที่กังวลกันนั้นน่าจะลดลงจากการเตรียมพร้อมแก้ปัญหาของภาครัฐตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันคาดว่าจะไม่ลงไปต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งจะไม่ส่งผลกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์
“เรามองว่าราคาน้ำมันคงไม่ลงไปต่ำกว่าปีก่อนแล้ว แต่หากลงไปต่ำกว่า 30 เหรียญต่อบาร์เรล ก็คงกระทบต่อประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานอย่างมาก”
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย ให้กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ โดยแนวต้านอยู่ที่ 1,450-1,460 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,150-1,200 จุด ที่ P/E 12-12.5 เท่า และประเมินอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนไนประเทศ (EPS Growth) เติบโต 14% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 93 บาทต่อหุ้น จากปีก่อน 82 บาทต่อหุ้น
ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนหากเป็นนักลงทุนในระยะกลาง-ยาว ให้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น และยังแนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน และลดลง ประกอบกับรับผลกระทบจากแหล่งพลังงานใหม่ที่สามารถทดแทนน้ำมันได้ อีกทั้งชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากต้องรอดูภาวะการแข่งขันในตลาด ซึ่งคาดว่าจะรุนแรง และอาจจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งกระทบกำไรของบริษัทในกลุ่มสื่อสาร แต่ถ้าหากต้องการลงทุนแนะนำ ADVANC
กลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวไทย คือ กลุ่มการบิน เช่น AOT และ BA กลุ่มโรงแรม เช่น MINT CENTEL และ ERAWAN กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BH และ BDMS นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มค้าปลีกที่จะได้รับผลดีจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยแนะนำ HMPRO ROBINS และ GLOBAL อีกทั้งหุ้นกลุ่มรับเหมา อย่างเช่น CK ก็ยังน่าสนใจจากการลงทุนของภาครัฐ แต่หากอยากลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องต่อพลังงาน แนะนำหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี อย่างเช่น SCC