xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นปีลิงผันผวนแกว่งตัวแคบ300จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดหุ้นปีลิง ผันผวนในกรอบ 1,250-1,550 จุด นักวิเคราะห์ประเมินปัจจัยเสี่ยงปี 2559 ปัญหาภัยแล้งในประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ พลิกตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานสถิติประจำปี 2558 โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดวันสุดท้ายของปีที่ระดับ 1,288.02 จุด เทียบกับปี 2557 ลดลง 14% ดัชนีปิดสูงสุดที่ 1,615.89 จุด (13 ก.พ. 58) ต่ำสุดที่ 1,261.66 จุด (22 ธ.ค. 58) มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 41,141.45 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 12.28 ล้านล้านบาท ลดลง 11% จากปีก่อนอยุ่ที่ 13.86 ล้านล้านบาท

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ได้ประเมินสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นปี 2559 ดัชนีจะแกว่งตัวถึง 300 จุดโดยทั้งปีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250-1,550 จุด โดยในครึ่งปีแรกคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,250 - 1,460 จุด ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350 - 1,550 จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ "ปรับขึ้นขาย ลงเข้าซื้อ”

ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันที่นักลงทุนจะต้องจับตา คือ 1.ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่กดดันการทำกำไรในหุ้นกลุ่มน้ำมัน 2. สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารจำเป็นที่จะต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดหุ้นกลุ่มธนาคาร และพลังงานต้องปรับตัวลดลงมา 3. ผลการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐ

ส่วนปัจจัยนอกประเทศ คือ 1.ท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ว่าจะดำเนินการตามที่ประกาศไว้ คือ จะพิจารณาจากภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนั้น ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน ซึ่งภาพสะท้อนจะอยู่ที่หากเศรษฐกิจดีขึ้น จะสะท้อนออกมาในการปรับขึ้นของดัชนีการลงทุนของตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก 2. เศรษฐกิจภายในประเทศจีน

"ความกังวลต่อสถานการณ์การลงทุนในประเทศไทย ประเด็นหลักจะยังคงเป็นเรื่องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล และการเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมาสถานะทางการเงินของรัฐบาลดี และสถานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนดี อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1% แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องอยู่ได้แก่ ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูง และมีความเหลื่อมล้ำอยู่บ้าง ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2559 ได้แก่เศรษฐกิจจีน ที่ยังคงชะลอตัว แต่ทั้งนี้อาจต้องระวังความเสี่ยงที่เกิดโดยไม่คาดคิด เช่นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนกำหนดของธนาคารกลางสหรัฐ ภาวะสงครามที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลาง การก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นในยุโรปเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะทำให้ภาวะการลงทุนชะงักงัน และเกิดความผันผวนได้ในปีหน้า” นายกวี กล่าว

นายกวี แนะนำหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุนได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรม ได้แก่ MINT, CENTEL , ERW หุ้นกลุ่มค้าปลีกเช่น HMPRO ,ROBIN ,GLOBAL ส่วนหุ้นกลุ่มพาณิชย์ได้แก่ CPN ที่มีกำไรโดดเด่นจากการเปิด 2 ห้างใหญ่ 2 แห่งในปีที่ผ่านมาคือ สาขาอีสต์วิว และ เวสเกต ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้แก่ CK ,ITD ที่จะได้รับอานิสงส์จากงานภาครัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ SCC เนื่องจากมีความพร้อมรองรับตลาดในหลายๆด้าน

ส่วนหุ้นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือหุ้นกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้หุ้นกลุ่มที่ไม่น่าลงทุนได้แก่หุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากหลังการประมูลจะเป็นช่วงของการลงทุนในการขยายระบบโครงข่ายใหม่ และชำระค่าประมูล จึงยังจะไม่เกิดกำไรในช่วง1-2 ปีนี้

ด้านนางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุในเชิงสถิติ SET Index มีโอกาสปรับตัวลงในช่วง 3 วันทำการแรกของเดือนมกราคม แต่หลังจากนั้น SET มักจะปรับตัวขึ้นสูงสุดของไตรมาส 1/59 ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ราว 3.5% ด้วยโอกาสกว่า 80% โดยมีกลุ่มที่สามารถ outperform ได้มากกว่า SET คือ ธนาคารพาณิชย์, อสังหาฯ และท่องเที่ยว-โรงแรม

เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน จึงได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อช่วยกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับลงทุนระยะสั้นๆ โดยการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่า พบว่า ในเดือน ม.ค. ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวลงผลตอบแทนเฉลี่ยลดลง 0.53% โดยมีเพียง 4 ปีเท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้สวนแนวโน้มตลาด คือ ประกันฯ และท่องเที่ยว-โรงแรม

ฝ่ายวิจัยพบว่ากลุ่มที่เป็น Domestic Plays มักจะปรับตัวได้ดีในช่วงไตรมาสแรกของทุกปี คือกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม เป็นกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดเป็นลำดับต้นๆ มาโดยตลอด สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยว โดยล่าสุด จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยเดือน ต.ค. 2558 มีจำนวน 2.228 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอีก 5% เป็น 2.55 ล้านคนในเดือน พ.ย. 2558 ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2558 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติท่องเที่ยวในไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30 ล้านคน เติบโต 21% yoy และจะโตต่อเนื่องในงวด 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ท่องเที่ยวบวกกับมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการเปิด AEC ส่งผลบวกต่อกลุ่มต่อหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว/โรงแรม อาทิ MINT,CENTEL และ ERW แต่เนื่องจาก MINT และ CENTEL ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมากแล้วในช่วงก่อน ทำให้เหลือ Upside น้อย จึงเลือก ERW ณ ราคาปัจจุบัน มี Upside 26.79% เป็น Top pick จากผลประกอบการที่จะ Turnaround และราคาหุ้นยัง Laggard ที่สุดในกลุ่ม
กำลังโหลดความคิดเห็น