บลจ.อเบอร์ดีนชี้ตลาดหุ้นไทยปีหน้าเติบโตรับปัจจัยบวกโครงการภาครัฐและการท่องเที่ยว มองตลาดเกิดเป็นโอกาสลงทุน เผยปี 2559 เล็งออก FIF 2 กองทุน
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็น บลจ.ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการบริหารเงินลงทุน มีสไตล์การลงทุนที่ชัดเจนและไม่มีธีม (Theme) ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการและเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจในสไตล์การลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนอันเนื่องมาจากปัจจัยอื่นที่เข้ามากระทบก็จะไม่ทำให้ลูกค้ากังวล เพราะรู้ว่าสไตล์ของบริษัทเน้นลงทุนระยะยาว
ดังนั้น กองทุนที่จะออกในแต่ละปีจึงไม่ต้องมากอะไรเหมือนกับ บลจ.ลูกแบงก์ บริษัทไม่มีกองทุนตราสารหนี้แบบมีอายุ (Term Fund) ไม่มีกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ (Trigger Fund) แต่บริษัทจะคัดสรรกองทุนที่มองแล้วว่าดีมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมาเสนอแก่นักลงทุนเป็นระยะๆ อาจจะปีละ 1-2 กองทุนเท่านั้น เพราะทุกกองทุนที่เลือกมาล้วนมีโอกาสในการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป บริษัทไม่ได้จับจังหวะตลาดให้ลูกค้าแต่เลือกกองทุนที่ดีมาให้ลูกค้าได้ลงทุน ดังนั้น กองทุนทุกกองของบริษัทลงทุนได้ ขึ้นกับความเข้าใจและความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนเอง
“ในปี 2559 บริษัทก็มีแผนจะนำเสนอกองทุนต่างประเทศอีกประมาณ 2 กองทุน ซึ่งยังคงโฟกัสในสินทรัพย์ที่เป็นหุ้น ส่วนรายละเอียดยังเปิดเผยไม่ได้ในตอนนี้ กองทุนที่มีความสลับซับซ้อนของบริษัทก็มี แต่การจะนำเสนอโปรดักต์อะไรเข้ามาต้องดูถึงความพร้อมของนักลงทุนด้วยเช่นกัน นอกจากองทุนรวมแล้ว ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทก็เติบโตได้ดีเช่นกัน ปัจจุบันมีสินทรัพย์ประมาณ 6,540 ล้านบาท มีนายจ้าง 88 บริษัท มีสมาชิกกว่า 50,000 คน โดยโตมาจากกองทุนร่วมทุน (Pooled Fund) เป็นหลัก ซึ่งในปี 2559 บริษัทก็คงจะเน้นรุกในส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อเนื่องเช่นกัน”นายกรวุฒิกล่าว
ทางด้านนายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า การลงทุนที่มีความผันผวนซึ่งมาจากปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ บริษัทมองว่าเป็นจังหวะในการที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น ในปีนี้จะเห็นว่ามีความไม่สงบทางการเมือง แต่ผลกระทบส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศเป็นหลักมากกว่า เห็นได้จากตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วไทยยังดีกว่ามาก ที่หลายคนมองว่าไม่ดีๆ นั้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแย่กว่าไทยมาก ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่มีปัจจัยกระทบรุนแรงมากจึงมองว่าเป็นจังหวะที่น่าลงทุน
“มองว่าในปีหน้าตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าในปีนี้ เพราะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่มีความชัดเจนและจริงจังมากขึ้น รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ถือเป็นเศรษฐกิจหลักยังช่วยให้เติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกก็ยังมีผลกระทบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบหลังการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 6.5% ต่อไปอีก 5 ปี ตามนโนบายรัฐบาลซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนได้ สำหรับหุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียและตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยเพอร์ฟอร์มเท่าไรนัก แต่ก็เป็นจังหวะในการพิจารณาเพื่อลงทุนโดยหวังผลในระยะยาวได้เช่นกัน ไม่ใช่ต้องรอให้ตลาดปรับขึ้นแล้วค่อยมาลงทุน ในส่วนของหุ้นจีนนั้นบริษัทยังชอบตลาดหุ้น H-Share มากกว่า”