หลักทรัพย์กสิกรไทย ชี้ดัชนี SET INDEX ปี 2559 คาดแกว่งตัวรุนแรงในช่วงขาลงในกรอบ 1,200-1,550 จุด และลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-โรงพยาบาล และค้าปลีกโดดเด่น เลี่ยงกลุ่มสื่อสาร และพลังงาน
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า ประมาณการดัชนี SET INDEX ในปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวรุนแรงในทิศทางขาลงที่ 1,450-1,460 จุด โดยมีแนวรับที่ 1,150-1,200 จุด ขณะที่ในส่วนของอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 14% หรือ 93 บาท/หุ้น จากปีก่อนหน้าซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 82 บาท/หุ้น
ขณะที่แนวโน้มภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/2559 จะมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางขาลงจากความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมในรอบต่อไปในเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งหากปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ภาพรวมทิศทางการลงทุนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“มองว่าไตรมาสแรกของปีนี้ SET INDEX ยังอยู่ในทิศทางขาลงจากความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed โดยจะมีการแกว่งตัวในทิศทางขาลงอย่างน้อย 1-2 เดือน และจะเริ่มนิ่ง และฟื้นตัวกลับขึ้นมาหลังการประชุมเฟดเรียบร้อยแล้ว”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่สร้างแรงกดดันการลงทุนแล้ว ยังมีปัจจัยลบจากกรณีการอ่อนค่าลงของเงินหยวนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ค่าเงินสกุลต่างๆ ในเอเชียปรับตัวอ่อนค่าตามลงไปด้วย ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในภูมิภาคนี้ทั้งหมด
ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มทยอยปรับฟื้นตัวขึ้น แต่จะไม่มากนักแม้จะยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง ซึ่งปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลต่อการลงทุนยังคงเป็นข่าวปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนหลังจากการปฏิรูป ที่จะทำให้ดัชนีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางขาลง นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2559 ยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องของค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อค่าเงินเอเชียให้อ่อนค่าตาม จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาสแรกของปียังมีความเสี่ยงอยู่มากจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบเป็นหลัก
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนในครึ่งปีแรก นักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งต้นน้ำ และปลายน้ำ คือ กลุ่มสายการบิน ได้แก่ AOT และ BA กลุ่มโรงแรม เช่น MINT CENTERL ERW กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BH และ BDMS ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกซึ่งได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น HMRPO ROBINS GLOBAL และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น CK และ SCC
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่นักลงทุนควรชะลอการลงทุน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากหุ้นพลังงานยังมีผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน และลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสาร ยังคงมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนค่อนข้างสูง จึงยังจะไม่มีกำไรในช่วงเร็วๆ นี้