นักวิเคราะห์ฯ ฟันธงค่าเงินหยวนของจีนมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อเนื่องในปี 59 กดดันตลาดหุ้นไทยผันผวน แนะถือเงินสดลดความเสี่ยง ด้านฟิทช์ ชี้ เงินหยวนอยู่ในภาวะเผชิญแรงกดดันหนัก ขณะที่จีนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และจำเป็นต้องรักษา ดบ.นโยบายในระดับต่ำเพื่อหนุน ศก.ฟื้นตัว และรับมือต่อภาระหนี้สินได้ ขณะที่แรงบีบอัตรา ดบ.ขาลงกำลังส่งผลให้มีกระแสเงินทุนไหลออก ซึ่งกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AEC) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินหยวนของจีนยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกหลายครั้งในปี 2559 ซึ่งเห็นได้จากค่าเงินหยวนในตลาดล่วงหน้ามีการอ่อนค่าไปที่ 6.8 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ (อ่อนค่า 3.7% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา) ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้มการอ่อนค่าเงินหยวนออกเป็น 2 กรณี คือ กรณี Base Scenario (ให้น้ำหนัก 60%) มีโอกาสอ่อนค่าแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ระดับ 6.8-7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2559 และกรณีที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีน และอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจจีนต่ำกว่าที่คาดมาก (High Capital Outflow) (ให้น้ำหนัก 40%) ค่าเงินหยวนมีโอกาสอ่อนค่าไปที่ 7-8 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงตลาดมีความเสี่ยงสภาพคล่อง คือ ค่าเงินเยน (USDJPY) และทองคำ ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนในช่วงที่จีนมีการประกาศลดค่าเงิน ซึ่งเรามองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในทุกๆ ไตรมาสของปี 2559
“ภาพของการลงทุนตลาดหุ้นไทยในปีนี้จำเป็นต้องมีการวางแผนในการถือเงินสด เพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินหยวน แต่เรายังสามารถเลือกลงทุนในบริษัท หรืออุตสาหกรรมที่มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาดได้ แนะนำลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีเชิงคุณภาพ 3 ประการ ได้แก่ อุตสาหกรรมภาคบริการยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งเหนือกว่าภาคการผลิต อุตสาหกรรมที่เราสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ มีแผนขยายการลงทุนออกนอกประเทศ ซึ่งมีความเข้มแข็งของกำลังซื้อที่สูงกว่า และสินค้าในอุตสาหกรรมต้องอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นซึ่ง ไม่ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นอย่างไรก็ยังต้องใช้”
สำหรับอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ได้แก่ อุตสาหกรรมในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยวโรงแรม โรงพยาบาล และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ BDMS CENTEL BJC AOT IRPC ส่วนอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาฯ (ที่อยู่อาศัย นิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาฯวิศวกรรม) และกลุ่มเกษตร
“ภาคเอกชนของจีนมีความเสี่ยงเรื่องภาระหนี้สูงขึ้นจากการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน จากข้อมูล BIS เราพบว่า ภาคเอกชนจีนมีภาระหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเพิ่มสูง 1-1.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (China Carry Trade) โดยมีสาเหตุสำคัญที่เกิดจากจากการที่ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของจีน และสหรัฐฯ ที่ต่างกันถึง 4% และมีนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการควบคุมสูง (Manage Fix Currency Policy) การหดตัวของทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทุนสำรองของจีนมีการปรับลดจากระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สู่ระดับ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา”
นอกจากนี้ สภาพคล่องโลกมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการทำตราสารอนุพันธ์ซับซ้อน (Structure notes) ปัจจุบันเรามีการคาดการณ์ว่า มูลค่าของการทำธุรกรรม Structure notes อยู่ที่ 1.56 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การอ่อนค่าของ USDCNY ทุกๆ 3% จะส่งผลต่อผลขาดทุนที่ระดับ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่คือปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสภาพคล่องโลก
ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ยอมรับว่า จีนกำลังเผชิญต่อภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกครั้งใหญ่ เพราะในขณะที่จีนจำเป็นต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อหนุนเศรษฐกิจให้สามารถรับมือต่อภาวะหนี้สินที่สูงขึ้นนั้น จีนก็กำลังเผชิญต่อแรงกดดันช่วงขาลงต่อเงินหยวนด้วย
ฟิทช์ ระบุว่า ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเรื่อยมานับตั้งแต่เดือน พ.ย.2557 โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถรับมือต่อภาระหนี้สินในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงได้ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงกำลังส่งผลให้มีกระแสเงินทุนไหลออก ซึ่งกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ฟิทช์ คาดว่าทางการจีนจะยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่อนค่าของเงินหยวน และคาดว่าสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือด้านนโยบายของจีนต่อไป