“วาย แอล จี” ประเมินแรงกดดันฝั่งสหรัฐฯ ยังออกมาต่อเนื่อง ฉุดราคาทองคำทำจุดต่ำสุดใหม่ ประเมินหากราคาไม่หลุดจุดต่ำสุดล่าสุดมีโอกาสรีบาวนด์ขึ้น ย้ำการส่งญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังกดดันราคาระยะยาว
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ประเมินทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองคำมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยสามารถปรับตัวลงไปทำราคาต่ำสุด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้แนวโน้มราคาทองคำออกมาไม่ได้นัก หลังยอดการขายสุทธิของกองทุน SPDR และกองทุนอื่นๆ รวมทั้งนักลงทุนยังเทขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังมีแรงรีบ่าวนด์เกิดขึ้น หลังคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาเปิดเผยถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ จนส่งผลบให้เงินสกุลยูโรอ่อนค่าลง และราคาทองคำเริ่มรีบาวนด์ขึ้น แต่ไปได้ไม่ไกลมากนัก เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางเดือนนี้ และยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะขยายอัตราการจ้างงานของบประเทศ
“ประเด็นแนวโน้มเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เพราะจะสร้างความผันผวนต่อราคาทองคำ โดยอาจจะอาศัยการฟื้นตัวของตัวเลขอัตราการจ้างงาน หรือตัวเลขเศรษฐกิจอื่นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย”
ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้คาดการณ์ว่าราคาอาจจะผันผวนแบบชะลอตัวลง แต่โมเมนตัมของราคาทองคำยังเป็นเชิงลบ และเคลื่อนไหวในแบบ Sideway Down จึงต้องจับตาแรงซื้อแรงขาย โดยหากราคาอ่อนตัวลงมาใกล้ราคาต่ำสุดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาช่วยรีบาวนด์มากน้อยเพียงใด และหากแรงซื้อยังคงมาก และราคาไม่ได้ปรับตัวลงต่ำสุดมากนัก คาดว่าราคาน่าจะรีบาวนด์ปรับตัวขึ้นได้ แต่ต้องจับตาราคาสูงสุดที่ผ่านมาด้วยว่า ราคาทองคำสามารถขยับขึ้นไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ หลัง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง
“หากราคาไม่สามาราถปรับขึ้นเหนือจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อาจเกิดแรงเทขายที่ทำให้ราคาปรับฐาน ดังนั้น นักลงทุนสามารถใช้ตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจลงทุนทั้งแรงซื้อแรงขาย ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญคือ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ดัชนีราคาผู้ผลิ้ต (PDI) และตัวเลขยอดค้าปลีก ที่จะช่วยบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ชัดเจนขึ้น”
ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ลงทุนในตลาด TFEX จำเป็นต้องระมัดระวังเพราะมีวันหยุด ซึ่งจะทำให้ปริมาณซื้อขายเบาบางลง ดังนั้น นักลงทุนอาจต้องวางแผนลงทุนแบบระยะสั้น และคิดกลยุทธ์การลงทุนที่รอบคอบ โดยแนวรับอยู่ที่ 1,046-1,040 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งต้องใช้จุดดังกล่าวในการเข้าซื้อ พร้อมตั้ง Stop Loss เพื่อไปพิจารณาเสี่ยงซื้อในบริเวณ 1,020-1,000 เหรียญ/ออนซ์อีกครั้ง เพราะคาดว่าจะเห็นการรีบาวนด์ค่อนดี ส่วนแนวต้านประเมืนไว้ที่ 1,077-1,080 เหรียญ/ออนซ์ เป็นจุดปิดสถานะ หรือขายทำกำไรโดยถ้าราคาสามารถกลับขึ้นไปยืนอยู่เหนือบริเวณดังกล่าวให้ชะลอการทำกำไร และไปทำกำไรที่บริเวณ 1,100 เหรียญ/ออนซ์