ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันสองวันทำการเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหลังจากมีรายงานว่า มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนหดตัวลงในเดือนพ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,568.00 จุด ลดลง 162.51 จุด หรือ -0.92% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,098.24 จุด ลดลง 3.57 จุด หรือ -0.07% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,063.59 จุด ลดลง 13.48 จุด หรือ -0.65%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก หลังจากจีนซึ่งเป็นตลาดนำเข้าและส่งออกรายใหญ่ของโลกนั้น รายงานว่า มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนในเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 4.5% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 2.16 ล้านล้านหยวน (3.37 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน
ขณะที่การส่งออกของจีนในเดือนพ.ย.ลดลง 3.7% แตะ 1.25 ล้านล้านหยวน และการนำเข้าปรับลง 5.6% ที่ 9.10 แสนล้านหยวน ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าขยายตัว 2% สู่ระดับ 3.431 แสนล้านหยวน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤติพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นไดมอนด์ ออฟชอร์ ดริลลิง และหุ้นคินเดอร์ มอร์แกน ปรับตัวลงกว่า 3.5% และหุ้นอนาดาโค ปิโตรเลียม ร่วงลงแตระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน หลังจากราคาทองแดงอ่อนแรงลง โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ร่วงลง 6.8% และหุ้นอัลโคร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 เดือน
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส หุ้นสปิริท แอร์ไลน์ส และหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ต่างก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 2.9%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ เพื่อดูว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว โดยล่าสุดนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้ากล่าวว่า เศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจันอยู่ในภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
การแสดงความเห็นของนายล็อคฮาร์ทมีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 211,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,568.00 จุด ลดลง 162.51 จุด หรือ -0.92% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,098.24 จุด ลดลง 3.57 จุด หรือ -0.07% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,063.59 จุด ลดลง 13.48 จุด หรือ -0.65%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก หลังจากจีนซึ่งเป็นตลาดนำเข้าและส่งออกรายใหญ่ของโลกนั้น รายงานว่า มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนในเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 4.5% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 2.16 ล้านล้านหยวน (3.37 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน
ขณะที่การส่งออกของจีนในเดือนพ.ย.ลดลง 3.7% แตะ 1.25 ล้านล้านหยวน และการนำเข้าปรับลง 5.6% ที่ 9.10 แสนล้านหยวน ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าขยายตัว 2% สู่ระดับ 3.431 แสนล้านหยวน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤติพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นไดมอนด์ ออฟชอร์ ดริลลิง และหุ้นคินเดอร์ มอร์แกน ปรับตัวลงกว่า 3.5% และหุ้นอนาดาโค ปิโตรเลียม ร่วงลงแตระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน หลังจากราคาทองแดงอ่อนแรงลง โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ร่วงลง 6.8% และหุ้นอัลโคร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 เดือน
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส หุ้นสปิริท แอร์ไลน์ส และหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ต่างก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 2.9%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ เพื่อดูว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว โดยล่าสุดนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้ากล่าวว่า เศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจันอยู่ในภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
การแสดงความเห็นของนายล็อคฮาร์ทมีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 211,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน