บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจะมีผู้บริหารสูงสุด หรือซีอีโออยู่เพียงแค่ 2 ประเภทเท่านั้น คือ ผู้บริหารที่เป็นเจ้าของบริษัท หรือเถ้าแก่ กับผู้บริหารมืออาชีพที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อกิจการเลย แต่ถูกว่าจ้างมานั่งบริหาร
ผู้บริหาร 2 แบบนี้ แน่นอนว่าบริษัทที่มีเถ้าแก่ หรือเจ้าของหุ้นนั่งบริหารเองจะให้ความสำคัญต่อราคาหุ้นมากกว่าผู้บริหารอาชีพที่อาจจะมีหุ้นประจำตำแหน่งในมือที่ได้เป็นออปชันแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แน่นอน!! ราคาหุ้นที่ขึ้นมาก็คือ “ความมั่งคั่ง” ของตัวเขาเอง หรือตระกูลที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ส่วนบริษัทที่มีผู้บริหารมืออาชีพส่วนมากจะไม่มีการตั้ง KPI ในเรื่องของราคาหุ้นเอาไว้ด้วย และจะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด อาจจะมีบ้างที่ใช้ออปชันในการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เมื่อราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ
ในฐานะที่เราเป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการระยะยาว เท่ากับว่าผลตอบแทนในรูปของส่วนต่างราคา (Capital Gain) สำคัญกว่าแน่นอน ดังนั้น การเลือกผู้บริหารที่ใส่ใจต่อราคาหุ้นอย่างเหมาะสมจึงมีความจำเป็นไม่ใช่น้อย
ประสบการณ์ที่ผมอยู่ในแวดวงตลาดทุนมากว่าสิบปี เห็นตัวตนของเถ้าแก่ที่นั่งบริหารกิจการมีอยู่หลายประเภท พอจะแบ่งได้ดังนี้
หนึ่ง..ไม่สนใจราคาหุ้นเลย ให้ความสำคัญต่อการบริหารธุรกิจเท่านั้น ไม่เคยทำรายการซื้อขายหุ้นตัวเองเลย ไม่เคยออกมาให้ข่าว กิจการประเภทนี้อาจจะมีกำไรเติบโตทุกปี แต่ราคาหุ้นอาจจะไม่ไปไหน เพราะเน้นบริหารแบบคอนเซอร์เวทีฟ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ และไม่มีการใช้ Financial Tool ใดๆ หรืออาจจะไม่กู้เงินจากธนาคารเลย หุ้นที่มีผู้บริหารประเภทนี้อาจจะเหมาะต่อนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงต่ำ
สอง..ให้ความสำคัญต่อราคาหุ้นอยู่พอสมควร ผู้บริหารประเภทนี้จะเข้าซื้อหุ้นตัวเองเมื่อราคาลงมาต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อเรียกความมั่นใจ และอาจจะมีขายออกไปบ้างเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น หรืออาจจะอนุมัติให้บริษัทมีการซื้อหุ้นคืน หุ้นที่มีผู้บริหารลักษณะเช่นนี้จะมีข่าวความเคลื่อนไหวของบริษัทออกสื่อเป็นระยะๆ แต่แแนวทางการบริหารจะยังคงเน้นแบบคอนเซอร์เวทีฟ ไม่ใช้ Financial Tool ที่มีความหวือหวา อย่างเช่น การเพิ่มทุน หรือออกวอร์แรนต์
สาม..ให้ความสำคัญต่อราคาหุ้นเป็นอย่างมาก ข้อสังเกตุคือ จะมีข่าวความเคลื่อนไหวออกมาในตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น เซ็นสัญญาลูกค้ารายใหม่ ได้งานประมูลใหม่ ฯลฯ ตลอดจนข่าวที่สร้างความหวือหวา เช่น สนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ ผู้บริหารประเภทนี้จะมีแแแนวทางที่ค่อนข้าง Aggressive คือ มีความพยายามที่จะสร้างการเติบโตให้แก่กิจการทั้งแบบปกติ (Organic Growth) และทางลัด (Inorganic Growth) ขณะเดียวกัน ยังมีการใช้ Financial Tool ทุกรูปแบบ ราคาหุ้นประเภทนี้จะมีความหวือหาเป็นระยะๆ
สี่..สนใจแต่ราคาหุ้น ไม่สนใจการบริหารเลย จะเรียกว่าเป็นนักบริหารก็คงจะไม่ใช่ แต่น่าจะเรียกว่านักเล่นหุ้นมากกว่า!! ผู้ที่บริหารส่วนมากจะไม่ใช่เจ้าของแต่ดั้งเดิม แต่เป็นผู้ถือหุ้นหน้าใหม่ที่อาจจะเข้ามาจากการเทกโอเวอร์ หรือเพิ่มทุน เวลาที่ออกมาให้ข่าวจะให้ในลักษณะของการ “ขายฝัน” คือ บอกแต่ว่าให้ความสนใจต่างๆ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ที่สำคัญคือ จะเห็นรายงานการซื้อขายหุ้นยาวเป็นหางว่าว หรือบางคนจะเน้นขายหุ้นออกมาฝั่งเดียว ผู้บริหารแบบนี้จะเน้นใช้ Financial Tool เพื่อสร้างราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง ที่นิยมคือ การลดพาร์ แจกวอร์แรนต์ เพิ่มทุนแบบ PP (เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคล) หุ้นหลายตัวที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวสุดท้ายจะพบว่าเป็นเพียงแค่ Money Games ของเจ้าของเท่านั้น และต้องจบลงด้วยการถูแขวนป้าย SP หรือต้อง DeList ออกจากตลาดไปเลย...
โอกาสที่ราคาหุ้นจะเติบโตจึงไม่ได้อยู่ที่งบการเงิน ผลประกอบการ ท่านั้น แต่ต้องดูที่คาแร็กเตอร์ของผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นด้วยว่าเขาสนใจราคาหุ้นไหม หรือสนใจแค่บริหาร รู้จัก Financial Tool แค่ไหน หรือสนใจแต่ราคาหุ้นอย่างเดียว
หุ้นของเรา เราเลือกเองครับ!!
นเรศ เหล่าพรรณาย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง