xs
xsm
sm
md
lg

ซีคอนฯ รับ ศก. ทรุด ฉุดบ้าน 5-20 ล้าน ชะลอตัว หันรุกตลาดบ้านต่ำกว่า 5 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศุภิชชา ชัยพิพัฒน์
ซีคอน โฮม ชี้เศรษฐกิจชะลอตัวคาดลากยาวถึงปีหน้า ฉุดตลาดรับสร้างบ้านราคา 5-20 ล้านบาท ชะลอตาม พร้อมเร่งปรับกลยุทธ์หันรุกตลาดรับสร้างบ้าน 2.5-5 ล้านบาท หลังพบครึ่งปีแรกเติบโตมากที่สุด เผยปรับลดเป้ายอดขายจาก 1,300 ล้านบาท เหลือ 1,100 ล้านบาท ตามภาวะตลาด

น.ส.ศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าผิดความคาดหมาย จากเดิมที่คาดว่าภายหลังจากการเมืองสงบสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวขึ้น แต่ในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยกลับชะลอตัว อันเนื่องมาจากหลายปัจจัยทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลายประเทศประสบปัญหา ทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และปัจจุบัน ยังประสบต่อปัญหาภัยแล้ง ทำให้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะชะลอต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ส่วนตลาดรับสร้างบ้านมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างเห็นได้ชัด และสอดคล้องต่อสภาวะเศรษฐกิจและสภาพตลาดรับสร้างบ้านเป็นอย่างมาก โดยกลุ่มบ้านที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น คือ กลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท และ 2.5-4 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ประจำ เงินเดือน ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม first home อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ใช้สินเชื่อธนาคารมากถึง 80%

“ลูกค้าในกลุ่ม 2.5-4 ล้านบาท ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีรายได้ประจำทำให้ยังมีความต้องการสร้างบ้านอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ทำให้มีอัตราปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ระดับ 10% มาต่อเนื่องมาหลายปี แต่นับจากปลายปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันอัตราปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 15%” น.ส.ศุภิชา กล่าว

ส่วนกลุ่มที่มีการเติบโตขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยมาก และมีการขยายตัวในทางบวกมาโดยตลอด แม้ว่าช่วงไตรมาสแรกจะชะลอตัวเล็กน้อยในระยะเวลาอันสั้น สืบเนื่องจากการผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่เมื่อรัฐบาลยกเลิกการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และคงจัดเก็บภาษีที่ดินเท่านั้น ทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ

ส่วนภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง คาดว่าสถานการณ์ตลาดจะทรงตัว หรือปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคา 3-6 ล้านจะยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด แต่ละบริษัทก็ยังต้องจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกันแบบแข่งดุต่อไป ซึ่งช่วงที่น่าจับตาอีกครั้งน่าจะเป็นช่วงสิงหาคม และธันวาคมของปีนี้ เพราะจะมีการจัดงานใหญ่ทั้งในส่วนของสมาคมรับสร้างบ้านและงานโฮมบายเออร์ไกด์

“ในอนาคตธุรกิจรับสร้างบ้านจะเหลือผู้เล่นในตลาดน้อยรายลง ผู้ที่อยู่ได้นอกจากจะมีสายป่านทางการเงินที่มั่นคงแล้ว เทคโนโลยี ประสบการณ์ และการพัฒนาแรงงานระดับแรงงานฝีมือก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากเช่นกัน ทำอย่างไรที่เราจะสามารถเติบโตขึ้นท่ามกลางปัจจัยรอบตัวที่ทำให้ต้องคิดเยอะขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัวเช่นกัน ในขณะที่การขยับขึ้นราคาน่าจะเป็นเรื่องยากในยุคปัจจุบัน” น.ส.ศุภิชชา กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสร้างยอดขายได้ราว 520 ล้านบาท มาจากกลุ่มบ้านของซีคอนโฮม ระดับราคา 5-20 ล้านบาท รวม 240 ล้าน และกลุ่มบ้านของคอมแพกโฮม และบัดเจตโฮม รวม 280 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนของทั้ง 2 กลุ่ม 46:54 ตามลำดับ เปลี่ยนแปลงจากเดิมบ้านซีคอนจะมีสัดส่วนมากที่สุด 60% กลุ่มบ้านคอมแพกโฮม และบัดเจตโฮม 40%

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ในครึ่งปีหลังบริษัทปรับแผนธุรกิจหันมาเน้นบ้านในกลุ่มคอมแพกโฮม และบัดเจตโฮม โดยตั้งเป้ามีสัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 60% ส่วนซีคอนโฮมลดเหลือ 40% นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายลงจากเดิมตั้งไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เหลือ 1,100 ล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้าน

“ปัจจุบัน ธุรกิจรับสร้างบ้านต้องปรับตัวอย่างมาก ไม่สามารถใช้แผนการขายในรูปแบบเดิมๆ ได้อีก โดยรูปแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค เช่น การเพิ่มบริการ one stop service การขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดหรือประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งการขยับการให้บริการออกไปในการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฮมออฟฟิศ หรือมินิคอนโด ตลอดจนการปรับเพิ่ม หรือลดระดับราคาบ้านที่ตนเองเคยถนัดก็มีให้เห็นในยุคนี้” น.ส.ศุภิชชา กล่าว

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มตลาด ณ ปัจจุบันนั้น จะเห็นได้ว่า กลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท จะเป็นกลุ่มที่ชัดเจนในงบประมาณ ดังนั้น เรื่องของ function การใช้สอยและ specification จะอยู่ในความพอเพียงตามงบประมาณที่มีอยู่ ในขณะที่กลุ่มบ้านระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท จะเป็นกลุ่มกลางๆ ที่พอจะขยับขยายเรื่องงบประมาณเพิ่มขึ้นได้บ้าง มีกำลังซื้อพอสมควร รูปแบบบ้าน และ function การใช้สอย รวมทั้ง specification ของวัสดุจะมีการปรับเปลี่ยนได้มากขึ้นตามความต้องการของสมาชิกในครอบครัว แต่ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณ

ส่วนกลุ่มบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท และ 10-20 ล้านบาท ถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง จึงมีความพิถีพิถันมากในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ความสวยงามของแบบบ้าน ความลงตัวของ function การใช้สอย ที่อาจต้องมีความต้องการพิเศษ รวมไปถึงการเลือกวัสดุใน specification สูง และการออกแบบตกแต่งภายในที่มีความซับซ้อมมากยิ่งขึ้น

และกลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยอมจ่ายเงินในสิ่งที่ตนต้องการในทุกๆ เรื่อง ณ ปัจจุบัน การแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ใช่แค่เรื่องราคาเท่านั้น แต่ผู้บริโภคในปัจจุบันมององค์ประกอบอื่นๆ เป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน เช่น การพัฒนาแบบบ้านใหม่ๆ ให้เหมาะต่อยุคสมัย และไลฟ์สไตล์อย่างสอดคล้อง การออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของครอบครัวนั้นๆ ให้กลายเป็นส่วนที่สะท้อนบุคลิกส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน


กำลังโหลดความคิดเห็น