xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ประกอบการโหมแคมเปญQ1รับสร้างบ้านโตสวนศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - รายงานการประเมินสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งจัดดทำโดยสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. พบว่าการออกมากระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง ของผู้ประกอบการรับสร้างบ่านและสามคม ซึ่งคาดว่ามีการใช้งบมีกว่า 40 ล้านบาท ในการโฆษราและจัดจัดกิจกรรมการตลาด “อีเว้นต์มาร์เก็ตติ้ง” ทั้งในส่วนของสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ซึ่งได้จัดงาน “มหกรรมสร้างบ้านและวัสดุก่อสร้าง” ขึ้นเป็นครั้งแรก ในเดือนม.ค. ขณะที่สามคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้จัดงาน “โฮมบิลเดอร์ โฟกัส” ซึ่งสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังชะลอตัว สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจประเทศในปีนี้ดีขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายปี57 สมาคมฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี58 จะปรับตัวดีขึ้นจากปี57แต่จากสภาพเศรษฐกิจจริงในช่วง 3 เดือนแรก ปรากฏว่ายังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหันมาเน้นจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และอัดโปรโมชั่นกันอย่างดุเดือดตั้งแต่ไตรมาสแรก เพื่อหวังเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า มีทั้งโปรโมชั่นลดราคาบ้านสูงสุด 25% หรือมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท แจกรถยนต์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท แถมทองคำ เครื่องปรับอากาศ แทปเลต โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าสามารถกระตุกอารมณ์ซื้อผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสอบถามความเห็นผู้บริโภคว่า พอใจหรือสนใจโปรโมชั่นลักษณะใดมากที่สุด คำตอบที่ได้รับคือ “ส่วนลดเงินสด”

ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ได้มีการสำรวจข้อมูลวิธีการเสนอขายบ้าน ของบรรดาผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน พบว่าบริษัทรับสร้างบ้านที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับบนหรือระดับราคาบ้าน 20 ล้านบาทขึ้นไป ต่างหันมานำเสนอการให้บริการในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ 1.ให้บริการรับสร้างเฉพาะตัวบ้าน และ 2. ให้บริการสร้างบ้าน-รั้ว พร้อมตกแต่งภายในและจัดสวน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อหน่วยให้สูงขึ้น โดยมุ่งตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการความสะดวกหรือบริการแบบวันสต๊อปเซอร์วิส

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลสำรวจเมื่อปี 2557 ระบุว่า สัดส่วนของกลุ่มลูกค้าที่จะสร้างบ้านระดับราคา 20-30 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนหน่วยเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น ของจำนวนหน่วยตลาดรวมรับสร้างบ้านหรือประมาณ 4,200-4,300 หน่วย ขณะที่ในปัจจุบันมีบริษัทรับสร้างบ้านไม่ต่ำกว่า 30 ราย นมาจับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักกัน ซึ่งอาจจะทำให้การแข่งขันในกลุ่มตลาดรับสร้างบ้านหรูดุเดือดยิ่งขึ้นในปี 2558 นี้

***กำลังซื้อปรับตัวลดลง

จากการที่สมาคมฯ สำรวจข้อมูลและสอบถามผู้ประกอบการในกลุ่มสมาชิกสมาคมฯ ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ปริมาณความต้องการสร้างบ้าน ยังมีจำนวนให้สามารถแชร์ตลาดอยู่มากพอ เพียงแต่ว่าราคาต่อหน่วยที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสถิติราคาบ้านต่อหน่วยในปี 2557 ที่ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่สุด เลือกปลูกสร้างบ้านราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4-5 ล้านบาท ในขณะที่ 3 เดือนแรกของปี 2558 นี้ ผู้บริโภคลือกสร้างบ้านในกลุ่มราคาหน่วยละ 2-4 ล้านบาทมากที่สุดเป็นอันดับ 1 หรือกว่าร้อยละ 80

ข้อมูลดังกล่าวอาจสะท้อนได้หลายมุมมอง อาทิเช่น อาจเป็นเพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจริง หรือระมัดระวังการลงทุนหรือใช้จ่ายมากขึ้น อีกมุมหนึ่งวิเคราะห์ได้ว่า ราคาบ้าน 3-4 ล้านบาทที่ได้รับความนิยมสูงสุด อาจเป็นเพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้หันมาใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านมากขึ้น จากเดิมที่เคยใช้บริการผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่สร้างบ้านในต่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านที่ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง

***แนวโน้มรับสร้างบ้านครึ่งปีแรก

สำหรับ ทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 2 นี้ สมาคมฯ ประเมินว่า แนวโน้มความต้องการสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าทรงตัวหรือใกล้เคียงกับช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก แรงกระตุ้นการรับรู้และกำลังซื้อผู้บริโภคในช่วงไตรมาสแรก ของผู้ประกอบการทั้ง 2 สมาคม ซึ่งน่าจะยังส่งผลดีต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 กอปรกับการปรับตัวของผู้ประกอบการเอง ที่หันมาเน้นทำการตลาดในวงกว้างมากขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มกำลังซื้อใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นตามมา

ในส่วนของการแข่งขันของผู้ประกอบการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คาดว่าจะเน้นการแข่งขันราคาเป็นสำคัญ เหตุเพราะต่างต้องการเร่งยอดขาย เพื่อให้เข้าเป้าหมายครึ่งปีแรกที่ตั้งไว้มากที่สุด โดยเฉพาะรายใหญ่หรือกลุ่มผู้นำตลาด ที่เน้นปริมาณหรือต้องการแชร์ส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ซึ่งกลุ่มนี้จะใช้ระบบโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งอาจมีโรงงานผลิตเองและมีความได้เปรียบในแง่ต้นทุน รวมทั้งกำลังการผลิตต่อปี สำหรับรายที่ใช้ระบบก่อสร้างแบบเดิมๆ นั้นจะไม่เน้นรับสร้างบ้านต่อปีในปริมาณมาก แต่คาดว่าจะหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้าบ้านหรู และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการให้บริการแบบวันสต๊อปเซอร์วิสแทน

ขณะที่ “สิทธิพร สุวรรณสุต” นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน คาดการณ์ภาพรวมตลาด ว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวจริง ประเมินได้จากความเชื่อมั่นและอำนาจซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ ต่างเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ดังจะเห็นได้จากการนำกลยุทธ์แข่งขัน “ลดราคา” มาใช้กระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค อย่างไรก็ดี หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ ม.44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 มาแทนกฏอัยการศึก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะส่งผลในแง่จิตวิทยาและเรียกความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการกลับมาดีขึ้น

สำหรับปริมาณ “บ้านสร้างเอง” ประเภทบ้านเดี่ยวทั่วประเทศในปี 2558 นี้ หลังจากผ่าน 3 เดือนแรกแล้ว สมาคมฯ ได้ปรับลดประมาณการจำนวนหน่วยเหลือ 6-7 หมื่นหน่วย จากก่อนหน้านี้ประมาณการไว้ที่ 8 หมื่นหน่วย ทั้งนี้ประเมินว่าเป็นบ้านที่จะปลูกสร้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวน 1.3-1.4 หมื่นหน่วย และปลูกสร้างในภูมิภาคหรือต่างจังหวัดจำนวน 5 หมื่นหน่วยเศษ โดยมีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจากทั่วประเทศ (จำนวน 170-180 ราย) แชร์ส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 4,200-4,500 หน่วย คิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 1.4-1.6 หมื่นล้านบาท (เฉลี่ยหน่วยละ 3-4 ล้านบาท)

ทั้งนี้เห็นว่าปริมาณหรือสัดส่วน “บ้านสร้างเอง” ยังมีความต้องการของผู้บริโภคสร้างใหม่อีกมาก หากผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั้งรายเดิมและรายใหม่ มีการปรับตัวหรือขยายตลาดออกไปยังต่างจังหวัด เพื่อสามารถเข้าถึงกำลังซื้อผู้บริโภคได้มากขึ้น เชื่อว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้อก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับปริมาณหรือจำนวนหน่วยของตลาดรวม “รับสร้างบ้าน” โดยมักนำจำนวนหน่วยของภาพรวมตลาด “บ้านสร้างเอง” ทั้งหมดมาอ้างอิงว่าคือ มูลค่าตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วจำนวนหน่วย “บ้านสร้าเอง” นั้นหมายถึง จำนวนหน่วยหน่วยรวมของทั้งผู้ประกอบการรับสร้างบ้านและผู้รับเหมาทั่วไป ทั้งนี้ในส่วนของปริมาณบ้านสร้างเองประเภทบ้านเดี่ยว ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี) เฉลี่ยแล้วมีอยู่ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นหน่วยต่อปีเท่านั้้น
กำลังโหลดความคิดเห็น