ASEFA ประกาศแต่งตั้ง บล.ฟินันเซียไซรัส เป็นแกนนำอันเดอร์ไรต์ เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 150 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET หวังระดมทุนไปใช้ขยายโรงงาน และสาขาในต่างจังหวัด ชำระคืนเงินกู้ และเงินทุนหมุนเวียน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ชี้เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าในประเทศไทย อนาคตสดใส สามารถเติบโตได้อีกมาก เผย ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว คาดเข้าจดทะเบียนใน SET ช่วงไตรมาส 3/2558 นี้
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่าย และติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า โคมไฟและระบบส่องสว่าง งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในการเตรียมตัวเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ซึ่งจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยแบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน จำนวน 140 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25.45 และเป็นการเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 10 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.82 สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายโรงงาน และจัดตั้งสาขาในต่างจังหวัด ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
“บริษัทฯ มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนใน SET โดย ASEFA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานสากลภายใต้แบรนด์ ASEFA และได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก จาก Schneider และ Socomec นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ระบบกระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า เช่น รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่างภายใต้เครื่องหมายการค้า ALUMAR ซึ่ง ASEFA มุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยบริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนโลหะเพิ่มเป็น 8,400 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 4,800 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2559 เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคต รวมทั้งมีแผนจัดตั้งสาขา จำนวน 10 สาขา ในหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการเปิด AEC ซึ่งการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด จะช่วยเพิ่มช่องทางในการขาย และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งสำนักงานสาขาตั้งแต่กลางปี 2558 และครอบคลุมทุกภาคในปี 2559”
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม จำนวน 2,072.89 ล้านบาทในปี 2555 จำนวน 2,126.23 ล้านบาท ในปี 2556 และจำนวน 1,704.19 ล้านบาทในปี 2557 โดยรายได้ของบริษัทฯ ในปี 2557 แบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1.รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิต และจำหน่าย ได้แก่ สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่าง เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 67 2.รายได้จากการขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่บริษัทฯ ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 และ 3.รายได้จากงานบริการ ได้แก่ งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องและงานบริการหลังการขาย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15 ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า ASEFA เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจาก ASEFA ถือเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าในประเทศไทย ยังได้สิทธิในการผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าจาก Schneider มากที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังสามารถผลิตและจัดหาอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อระบบไฟฟ้า ถือเป็น One Stop Service สำหรับลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอนาคต จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ธุรกิจพลังงาน และศูนย์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก โดยสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่งของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2558 คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในไตรมาส 3 ปีนี้
ทั้งนี้ ณ วันที่ 18 มี.ค.2558 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน จำนวน 550 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว จำนวน 400 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 550 ล้านบาท โดยมีกลุ่มอังคณากรกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 55.54 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และลดลงเป็นร้อยละ 40.39 ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO