อาซีฟา พร้อมเดินสายโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลบริษัทฯ แก่นักลงทุนใน 4 จังหวัดใหญ่ สงขลา เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ ดีเดย์เริ่มที่หาดใหญ่ 17 ก.ค.นี้ เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 150 ล้านหุ้น หรือ 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด เอ็มดี ASEFA มั่นใจพื้นฐานบริษัทฯ เป็นหุ้น Growth Stock วางเป้าหมายรายได้ทั้งปี 58 โตไม่ต่ำกว่า 20-25% ด้าน ที่ปรึกษาทางการเงินและ Lead Underwrite คาดนักลงทุน ทั้ง 4 จังหวัดให้ความสนใจฟังข้อมูลอย่างล้นหลาม เป็นโอกาสแนะนำธุรกิจ และจุดเด่น ASEFA
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ต่อนักลงทุนทั่วไป (โรดโชว์) ในพื้นที่ 4 จังหวัด ที่มีฐานนักลงทุนจำนวนมาก ประกอบด้วย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นในวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรภายในเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งนี้ ภายหลังการให้ข้อมูลบริษัทฯ ที่จังหวัดสงขลา 17 กรกฎาคม นี้มีแผนการไปโรดโชว์ใน จ.เชียงใหม่ วันที่ 20 ก.ค. , จ.ขอนแก่น วันที่ 22 ก.ค. และสุดท้ายที่กรุงเทพฯ วันที่ 24 ก.ค. 2558 นี้
ทั้งนี้ ASEFA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสวิตซ์บอร์ดไฟฟ้าที่ผลิตตามมาตรฐานสากลภายใต้แบรนด์ Asefa และได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก จาก Schneider Electric Industries และ Socomec นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ระบบกระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า อาทิ รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่างภายใต้เครื่องหมายการค้า อลูม่าร์ ซึ่ง ASEFA มุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนโลหะเพิ่มเป็น 8,400 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 4,800 ตันต่อปี คาดว่า จะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2559 เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคต รวมทั้งมีแผนจัดตั้งสาขาจำนวน 10 สาขา ในหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการเปิด AEC ซึ่งการขยายสาขาไปยังภูมิภาคจะช่วยเพิ่มช่องทางในการขายและโอกาสทางธุรกิจให้ครอบคลุมไปทุกภูมิภาคของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งสำนักงานสาขาตั้งแต่กลางปี 2558 และครอบคลุมทุกภาคในปี 2559
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดไตรมาส 1/2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 520.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 441.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 17.88 โดยมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายจำนวน 309.42 ล้านบาท รายได้จากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อจำนวน 88.47 ล้านบาท รายได้จากการบริการจำนวน 74.22 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 23.99 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 209.38 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการรื้อถอนโครงการไฟฟ้าบางปะกง จำนวน 42.34 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งวดไตรมาส 1/2558 อยู่ที่ 32.50 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.24%
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,704.19 ล้านบาท ซึ่งในปีก่อนบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและบริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างภายในด้วยการลดสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ ประกอบกับปีนี้บริษัทฯ จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ได้มีการขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2558 บริษัทฯ มีมูลค่างานคงค้างในมือ 550 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 500 ล้านบาท
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนในครั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงเชื่อว่าการเข้ามาระดมทุนในตลาด SET ครั้งนี้จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ ASEFA
“ASEFA เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจาก ASEFA ถือเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าในประเทศไทย ยังได้สิทธิในการผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าจาก Schneider มากที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังสามารถผลิตและจัดหาอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า ถือเป็น One Stop Service สำหรับลูกค้า
นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอนาคต จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ธุรกิจพลังงาน และศูนย์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก โดยสำนักงาน ก.ล.ต.ได้อนุมัติไฟลิ่งของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2558 คาดว่า จะสามารถเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประมาณต้นเดือนสิงหาคม” นายสมภพ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 550 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 400 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 550 ล้านบาท โดยมีกลุ่มอังคณากรกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 55.54 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และลดลงเป็นร้อยละ 40.39 ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO