ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง 11.72 จุด ปิดที่ 1,504.04 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.19 หมื่นล้านบาท แม้นักลงทุนต่างชาติยังเทขายออกมาอีกเกือบ 1.2 พันล้าน ส่งผลให้ยอดขายสะสมตั้งแต่ต้นเดือนทะลุ 6.6 พันล้านบาท หลังผันผวนมาต่อเนื่องจากความกังวลต่อปัญหาการชำระหนี้กรีซ ส่วนมติกนง. คงอัตราดอกเบี้ยไม่กระทบมากนัก ขณะที่ภาพรวม พ.ค. ตลาดหุ้นร่วง รับแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 มิ.ย.) เปิดการซื้อขายค่อนข้างสดใสตั้งแต่ช่วงเช้า และดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน หลังจากมีแรงเทขายออกมาในวันก่อน โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50%
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,510.68 จุด ต่ำสุด 1,496.37 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,504.04 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.72 จุด หรือคิดเป็น 0.79% มูลค่าการซื้อขายรวม 31,909.76 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,193.22 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 1,571.35 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 150.89 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 529.02 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมามียอดขายสุทธิต่างชาติสะสมรวมทั้งสิ้น 6,624.55 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ราคาปิด 6.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,045.12 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 344 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 2.08% มูลค่าการซื้อขาย 1,936.89 ล้านบาท และบมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) ราคาปิด 19.40 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 4.90% มูลค่าการซื้อขาย 1,222.47 ล้านบาท
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 11.72 จุด ดีดกลับหลังร่วงแรงวานนี้,กลุ่มพลังงาน-แบงก์ช่วยหนุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรกหลังจากมีแรงเทขายของในวันก่อนหน้า บวกกับความกังวัลปัญหาการชำระหนี้กรีซ กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่จะส่งผลดีในแง่ของแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารมากขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้ดัชนีตลาดปรับตัวในแดนบวก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (11 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากหลายฝ่ายประเมินว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดและสามารถขยับเพิ่มขึ้นได้ บวกกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยน่าจะทรงตัวและมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงคาดการณ์ความสามารถการทำกำไรของตลาดหุ้นไทยยังโดดเด่นสุดในอีก 3 เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับภูมิภาค ดังนั้นจึงให้แนวรับที่ระดับ 1,500 จุด และแนวต้าน 1,510-1,515 จุด
หุ้นพ.ค.ทรุดรับศก.ไตรมาสแรกหดตัว
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในเดือนพฤษภาคม 2558 ว่า ณ สิ้นเดือน พ.ค. 58 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดที่ระดับ 1,496.05 จุด ลดลง 0.1% จากสิ้นปี 57 และลดลง 2.0% จากสิ้นเดือนก่อน สาเหตุมาจากผู้ลงทุนมีความกังวลกับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 1/58 ที่ขยายตัว 3.0% ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 3.4% แม้ว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/58 ออกมาใกล้เคียงกับการคาดการณ์ รวมทั้งความกังวลจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และปัญหาการชำระหนี้ IMF ของรัฐบาลกรีซ
ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย (Market capitalization)อยู่ที่ 14.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.21% จากสิ้นปี 57 และตลาดเอ็มเอไออยู่ที่ 394,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 3.01% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อรวมของตลาดหุ้นและเอ็มเอไอ อยู่ที่ 38,577 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.49% นักทุนต่างประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 3,118 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 58 มีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 144,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 3.25 เท่า
ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือน พ.ค.58 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 149,516 สัญญา ลดลง 4.66% จากเดือน เม.ย.58 สาเหตุสำคัญมาจากการซื้อขายที่ลดลงของ single stock futures
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยระยะสั้นแม้จะสามารถรีบาวน์ได้ แต่ยังคงเป็นเม็ดเงินที่มาจากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น จึงยังต้องระวังแรงขายที่จะมีออกมากดดันให้ SET ปรับตัวลงต่อ เนื่องจากปัจจับกดดันดัชนีฯ ยังไม่มีท่าทีคลี่คลายทั้งโน้มการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED เร็วกว่าที่ตลาดคาดหวัง รวมทั้งประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คาดว่าช่วงนี้ ตลาดยังมีสิทธิที่จะแกว่งตัวลงต่อได้อีกมากกว่า ดังนั้นจึงยังแนะนำให้รอซื้อเมื่อดัชนีไหลลงต่ำก่อนดีกว่า โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1490 -1510 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 มิ.ย.) เปิดการซื้อขายค่อนข้างสดใสตั้งแต่ช่วงเช้า และดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน หลังจากมีแรงเทขายออกมาในวันก่อน โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50%
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,510.68 จุด ต่ำสุด 1,496.37 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,504.04 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.72 จุด หรือคิดเป็น 0.79% มูลค่าการซื้อขายรวม 31,909.76 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,193.22 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 1,571.35 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 150.89 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 529.02 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมามียอดขายสุทธิต่างชาติสะสมรวมทั้งสิ้น 6,624.55 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ราคาปิด 6.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,045.12 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 344 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 2.08% มูลค่าการซื้อขาย 1,936.89 ล้านบาท และบมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) ราคาปิด 19.40 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 4.90% มูลค่าการซื้อขาย 1,222.47 ล้านบาท
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 11.72 จุด ดีดกลับหลังร่วงแรงวานนี้,กลุ่มพลังงาน-แบงก์ช่วยหนุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรกหลังจากมีแรงเทขายของในวันก่อนหน้า บวกกับความกังวัลปัญหาการชำระหนี้กรีซ กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่จะส่งผลดีในแง่ของแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารมากขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้ดัชนีตลาดปรับตัวในแดนบวก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (11 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากหลายฝ่ายประเมินว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดและสามารถขยับเพิ่มขึ้นได้ บวกกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยน่าจะทรงตัวและมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงคาดการณ์ความสามารถการทำกำไรของตลาดหุ้นไทยยังโดดเด่นสุดในอีก 3 เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับภูมิภาค ดังนั้นจึงให้แนวรับที่ระดับ 1,500 จุด และแนวต้าน 1,510-1,515 จุด
หุ้นพ.ค.ทรุดรับศก.ไตรมาสแรกหดตัว
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในเดือนพฤษภาคม 2558 ว่า ณ สิ้นเดือน พ.ค. 58 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดที่ระดับ 1,496.05 จุด ลดลง 0.1% จากสิ้นปี 57 และลดลง 2.0% จากสิ้นเดือนก่อน สาเหตุมาจากผู้ลงทุนมีความกังวลกับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 1/58 ที่ขยายตัว 3.0% ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 3.4% แม้ว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/58 ออกมาใกล้เคียงกับการคาดการณ์ รวมทั้งความกังวลจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และปัญหาการชำระหนี้ IMF ของรัฐบาลกรีซ
ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย (Market capitalization)อยู่ที่ 14.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.21% จากสิ้นปี 57 และตลาดเอ็มเอไออยู่ที่ 394,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 3.01% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อรวมของตลาดหุ้นและเอ็มเอไอ อยู่ที่ 38,577 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.49% นักทุนต่างประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 3,118 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 58 มีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 144,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 3.25 เท่า
ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือน พ.ค.58 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 149,516 สัญญา ลดลง 4.66% จากเดือน เม.ย.58 สาเหตุสำคัญมาจากการซื้อขายที่ลดลงของ single stock futures
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยระยะสั้นแม้จะสามารถรีบาวน์ได้ แต่ยังคงเป็นเม็ดเงินที่มาจากแรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น จึงยังต้องระวังแรงขายที่จะมีออกมากดดันให้ SET ปรับตัวลงต่อ เนื่องจากปัจจับกดดันดัชนีฯ ยังไม่มีท่าทีคลี่คลายทั้งโน้มการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED เร็วกว่าที่ตลาดคาดหวัง รวมทั้งประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คาดว่าช่วงนี้ ตลาดยังมีสิทธิที่จะแกว่งตัวลงต่อได้อีกมากกว่า ดังนั้นจึงยังแนะนำให้รอซื้อเมื่อดัชนีไหลลงต่ำก่อนดีกว่า โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1490 -1510 จุด