ASTVผู้จัดการรายวัน - บมจ.ไฟร์ วิคเตอร์ คาดรายได้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15% เตรียมรุกตลาดป้องกันภัยพร้อมเพิ่มสินค้าใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ เผยแผนเข้าลงทุนกลุ่มประเทศ AEC เล็งพม่า และกัมพูชา คาดสรุปเร็วๆ นี้ เทงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เข้าซื้อการกิจใหม่ หวังขยายงานรับอานิสงส์โครงการขนาดใหญ่ภาครัฐเพิ่มขึ้น
นายวิรัช สุขชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไฟร์ วิคเตอร์ หรือ FIRE กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไปบริษัทฯ คาดว่ายอดจำหน่ายสินค้าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจากยอดการจำหน่าย และการทยอยส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าที่เริ่มมีมากขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ อีกทั้งยอดขายสินค้าส่วนใหญ่จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า 3-6 เดือน ซึ่งสอดคล้องต่อแผนการดำเนินธุรกิจที่ตั้งเป้าให้มีรายได้เติบโต 15% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มสินค้าใหม่ช่วงกลางปีประมาณเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อกระตุ้นตลาด และยอดการสั่งซื้อ เนื่องจากสินค้าใหม่ที่นำเข้ามาจำหน่ายในปลายปีที่แล้วจะเกี่ยวกับระบบปรับอากาศ ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี มียอดการจำหน่ายที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในการส่วนของงานระบบป้องกันไฟภายในอาคารคอนโดมิเนียม และงานที่เกี่ยวกับอสังหาฯ อื่นๆ มีการชะลอออกไปบ้างในไตรมาสที่ 1/2558 ที่ผ่านมา ซึ่งงานที่ล่าช้าออกไปคาดว่าเป็นส่วนหนึ่งจากภาพความเชื่อมั่นของรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อรายได้มากนัก เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อในระดับที่สูงถึงกว่า 100 ล้านบาท
“ขณะที่ในส่วนของการขยายสาขาใหม่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้งบลงทุนในการขยายสาขาที่ 30-40 ล้านบาท โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเลือกสถานที่ และเตรียมระบบตลอดจนการเทรนนิ่งบุคลากร ซึ่งปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มให้ได้ 2 เท่าจากเป้าหมายขยายสาขาของปีนี้”
นอกจากนี้ บริษัทฯ วางแผนที่จะนำสินค้าใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับระบบป้องกันอัคคีภัยจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม และการเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศ AEC โดยจะเริ่มเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศ กัมพูชา และพม่าก่อน เนื่องจากมีโอกาสในการขยายตลาดได้มาก และมีคู่แข่งในธุรกิจประเภทนี้มีอยู่น้อย โดยขณะนี้่อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลที่จะเข้าไปลงทุน โดยในประเทศกัมพูชา จะเป็นการเข้าไปลงทุนเอง ส่วนประเทศพม่านั้นอยู่ในช่วงของการเจรจากับพันธมิตรที่จะเข้าไปลงทุน เนื่องจากมีข้อระเบียบกฎเกณฑ์ข้อบังคับทางด้านกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปการเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าได้ภายในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ส่วนประเทศกัมพูชา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้
“หากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน บริษัทจะได้รับอานิสงส์จากการค้าระหว่างประเทศที่ทำได้ง่ายขึ้น ข้อจำกัดด้านกำแพงภาษี และกฎหมายการค้าระหว่างประเทศจะลดลง ทั้งการเข้าไปเปิดกิจการ หรือขยายสาขาทำได้ง่ายมากขึ้น”
ขณะที่ในส่วนของแผนการเข้าซื้อกิจการ (Merger and Acquisition : M&A) บริษัทฯ ได้มีการพิจารณาเลือกธุรกิจที่สอดคล้องเกี่ยวเนื่องกับที่ทำอยู่ เช่น เครื่องสูบน้ำ หรืออุปกรณ์ป้องกันไฟ โดยวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 50-100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้มีการพูดคุยอยู่กับบริษัทที่จะเข้าไปซื้อกิจการหลายราย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งการเข้าไปลงทุนด้วยการควบรวมกิจถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญในการผลักดันให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในอนาคตจากธุรกิจในต่างประเทศคาดว่าจะมีรายได้ที่เติบโตมากขึ้นไปตามทิศทางของตลาดภูมิภาคในประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะประเทศพม่า ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการใช้ทรัพยากรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุน การจ้างงานเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในส่วนของประเทศลาว จะมีอัตราการเติบโตในระดับคงที่ไม่มากและรวดเร็วเหมือนประเทศพม่า ซึ่งโดยเฉพาะประเทศกัมพูชา และพม่า ตลาดมีการเติบโตค่อนข้างเยอะ สามารถเข้าไปทำงานได้ทันที โดยเฉพาะสินค้าของบริษัทฯ มีความได้เปรียบในตลาด เพราะอยู่ในรายการสินค้าประเภทเดียวกันกับที่กลุ่มประเทศเหล่านั้นออกแบบไว้อยู่แล้ว โดยขณะนี้ได้มีการขายสินค้าไปบางส่วนใน 2-3 โครงการของพม่าแล้ว ขณะที่ในส่วนของประเทศกัมพูชา มีจำหน่ายไปบ้างเล็กน้อย ขณะที่ในส่วนของรายได้ภายในประเทศจะมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้รับงานในโครงการรัฐสภาใหม่ ซึ่งสรุปงานไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงใบสั่งซื้อจากลูกค้าเท่านั้น และแนวโน้มงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานอีกเป็นจำนวนมาก