xs
xsm
sm
md
lg

ปรับฐานรอบนี้ไม่แรง “ประกิต สิริวัฒนเกตุ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วานนี้ SET Index ปรับลงหนักกว่า 1.3% ตามการทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ สถาบันในประเทศ และบัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์ โดยในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศที่มีการขายสุทธิหนักถึง 2.2 พันล้านบาท (รวม 2 วันขายไป 3.7 พันล้านบาท) ถือเป็นปริมาณการขายสุทธิที่มากที่สุดในรอบ 30 วันทำการหลังสุด ประเมินการขายของนักลงทุนต่างชาติครั้งนี้ไม่ได้เกินความคาดหมาย ด้วยเพราะยอดซื้อสะสมเมื่อคิดตามมูลค่าตลาดตั้งแต่ปี 2552 ได้กลับขึ้นมาอยู่ใกล้ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา กรอบของยอดสะสมจะอยู่ที่ระดับ 4-4.5 หมื่นล้านบาท หากเกินขอบบนก็มักจะเกิดการขายทำกำไร หากยอดสะสมต่ำกว่าขอบล่างก็จะมีการซื้อกลับทุกที อีกทั้งการขายครั้งนี้อาจเกิดจากความกังวลต่อประมาณการณ์ GDP และ EPS ของตลาดในปี 2558 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในประเทศยังคงต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง ส่วนการขายของสถาบันในประเทศ แม้จะขายสุทธิเพียง 8.5 ร้อยล้านบาท แต่ก็ควรต้องเริ่มระมัดระวัง เพราะถ้าสถานการณ์ตลาดแย่ลงอาจเป็นไปได้ว่าบรรดา Trigger Fund ที่ออกเสนอขายเมื่อปลายปี 2557 และสามารถทำผลกำไรได้ถึงเป้าหมายแล้วแต่ยังไม่ปิดกอง อาจจะเริ่มขายเพื่อชิงทำกำไรก่อน เช่นเดียวกับ LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 5 ปี ก็อาจตัดสินใจขายออกเพื่อรับรู้กำไร สำหรับภาพรวมการเคลื่อนไหวในวันนี้ดัชนีอาจมีการฟื้นตัวในกรอบแคบๆ หลังวานนี้ลงมาค่อนข้างรุนแรง แต่คาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดจะเบาบาง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งตามสถิติแล้วมูลค่าการซื้อขายมักจะหายไปจากช่วง 1 เดือนก่อนหน้ากว่า 25-30%

จาก ASP market Talks ได้ศึกษาข้อมูลย้อนอดีตระหว่างปี 2548-2556 พบว่า ในเดือน กุมภาพันธ์ของทุกปี ดัชนีตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก กล่าวคือ เฉลี่ย 1.86% ในช่วงดังกล่าว (แต่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จากทั้งหมด 9 ปี หรือความน่าจะเป็น 78%) และ หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มฯ ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาด (มากกว่า 2% ขึ้นไป) เรียงลำดับผลตอบแทนสูง พบว่า มีดังนี้ คือ 1) Health 4.4% ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 89% รองลงมาคือ 2) Trans 3.82% ความน่าจะเป็น 89% 3) Tourism 3.4% ความน่าจะเป็น 89% 4) ICT 3.5% ความน่าจะเป็น 78% 5) Prop 3.2% ความน่าจะเป็น 78% 6) Bank 3.1% ความน่าจะเป็น 78% 7) FIN 3.1% ความน่าจะเป็น 89% 8) Etron 2.8% ความน่าจะเป็น 100% 9) Insure 2.6% ความน่าจะเป็น 89%

แต่อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบดัชนีนี้รายกลุ่มพบว่า ได้ปรับขึ้น หรือให้ผลตอบแทนที่สอดคล้องต่อข้อมูลในอดีต และในอัตราที่มากกว่า เพียงอาจมีสลับลำดับบ้างกล่าวคือ สูงสุด 3 ลำดับแรก คือ กลุ่ม FIN, HELTH, PROP เป็นต้น กล่าวคือ
1) FIN ให้ผลตอบแทนสูงถึง 5.7% ในเดือน ก.พ. และให้ผลตอบแทนสูงถึง 22.1% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ytd) ซึ่งนับว่าสูงกว่า SET ที่ให้ผลตอบแทน 7.4% หากพิจารณาเป็นรายหุ้นพบว่า ที่ให้ผลตอบแทนมากสุดกระจุกตัวในกลุ่มลีสซิ่ง ได้แก่ ML 65.8% ตามมาด้วย IFS 57.8%, MTLS 56.6%, SAWAD 46.6%, AMANAH 37.6%, GL 33.9%, GBX 22.8%, KTC 21.9%, THANI 18%, TNITY 18%, BFIT 15.2%, TK 14.9%, KGI 13.3% และ FSS 12.5% เป็นต้น

2) Health ให้ผลตอบแทนสูง 5% เฉพาะในเดือน ก.พ. และให้ผลตอบแทน 12.51% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ytd) สูงกว่า SET โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากสุด คือ KDH 21% ตามมาด้วย BGH 18%, BH 12.4%, BCH 9.5%, NTV 9.2%, CHG 8.9% และ VIH 8.6% ที่เหลือให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาด

3) PROP 2.7% เฉพาะในเดือน ก.พ. และให้ผลตอบแทน 8.1% ytd ชนะ SET เล็กน้อย โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดมีมากกว่า 30 บริษัท (จากที่มีอยู่กว่า 50 บริษัท) ได้แก่ ได้แก่ KC 274% ตามมาด้วย NCH 62.23%, ROJNA 53.7%, PRINC 48.3%, PRIN 46.4%, SENA 40.1%, MK 38%, AP 16.8%, SC 12.1%, QH 12%, LH 10.5%, PS 10.4%, RML 9.1% ทั้งนี้ ยกเว้นหุ้นที่ให้ผลตอบน้อยกว่าตลาดได้แก่ SPALI -1.7%, CPN -1.6%, TICON +1.1% และ HEMRAJ +0.5%

ส่วนกลุ่มอื่นๆ แม้ให้ผลตอบแทนในเดือนกุมภาพันธ์ น้อย คือ 0% หรือติดลบ แต่เป็นเพราะได้ปรับขึ้นมากในเดือนมกราคมแล้ว ได้แก่ TRANS, BANK, ICT, TOURISM, ETRON, INSURE คือ
4) TRANS ให้ผลตอบแทน 0% ในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 7.7% ytd ใกล้เคียงกับ SET โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากสุด คือ RCL 24.3% ตามมาด้วย PSL 21.3%, ASIMAR 21.1%, BTC 21%, AAV 14%, NOK 10.7% เป็นต้น

5) Bank 0% แต่ให้ผลตอบแทน 6.9% ใกล้เคียงกับ SET โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากสุด คือ BAY 50.3%, TCAP 14.2%, TISCO 8.8%, TMB 6.8%, CIMBT 4.2%, KKP 3.2%, KTB 3.1% และ LHBANK 2% ที่เหลือ BBL -1%, SCB -1.6%, KBANK -2.2% เป็นต้น

Ant eye view : Bad Sign มาเต็มๆ MACD หักลงจากที่สูงจนตัด Signal Line สัญญาณลบดึง SET ลงแบบไม่ปรานีปราศรัย ดัชนีปิดตัวดึกดำดึ๋ยถึง 1,587 จุด ติดลบแดงไปกว่า 20 จุด
มีสิ่งหนึ่งที่อาจช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างคือ การลงรอบนี้มาด้วย Volume ที่หนักแค่ปานกลาง (มูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ 5.1 หมื่นล้านบาท) ซึ่งค่อนข้างผิดไปจากทุกทีที่มีการปรับลงจากยอดดอยสำคัญๆ ดัชนีมักจะลงปิดติด Low แท่งเทียนแดงก่ำด้วย Volume หนาแน่นกระแทกข้างฝา ครั้งนี้เมื่อ Volume ไม่ได้โหมเข้ากด SET อย่างหนักหน่วง Momentum ขาลงจึงดูไม่โหดเหี้ยมกระเทียมเกรียมเท่าไหร่นัก การปรับฐานรอบนี้จึงไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้นไส้ติ่งแตก โดย 1,583 จุด และ 1,571 จุดอาจจะเป็นแนวรับชั้นดีที่สามารถหยุดยั้งอาการไส้รั่วของ SET Index ได้

กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic : คาดว่าน่าจะเป็นการขายหุ้นทำกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น หุ้นกลุ่มลีสซิ่ง, อสังหาฯ, โรงพยาบาล ตรงข้ามแนะให้ถือหุ้นปันผลเด่น AIT(FV@B53) และ SPALI(FV@B 31.96) ราคาหุ้นยัง Laggards
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เลือกอสังหาฯ PS SPALI SENA
■ หุ้นปันผล AIT, ASK, SPALI
■ หุ้น Consumption ฟื้นตัว ICHI, M
■ หุ้น Growth Stocks และมี Story เด่นเกี่ยวกับดีล M&A เลือก SAWAD
■ หุ้น P/E ต่ำเฉลี่ยกลุ่ม ผลประกอบการเด่น : SYNTEC
■ หุ้น Turn Around เด่น : MCS, PACE
■ Portfolio Update : ASK, PACE, ICHI,

พูดคุยสอบถามกับผมได้ที่
Asiaplus
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
Prakit Siriwattanaket
Strategist and Technical Analyst

ASIA PLUS SECURITIES PUBLIC CO LTD
email prakit@asiaplus.co.th
กำลังโหลดความคิดเห็น