ออริจิ้นฯ เปิดแผนลงทุนปี 58 ผุดคอนโดฯ 6 โครงการ มูลค่า 2,215 ล้านบาท เชื่อปีนี้ยอดขายโต 20% แม้เศรษฐกิจผันผวน หนี้ครัวเรือนเพิ่ม ลุ้นรัฐเบิกจ่ายงบประมาณอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบหนุนเศรษฐกิจโต ล่าสุด เปิดคอนโดฯ แบรนด์ใหม่ “พอร์ช" คอนโดฯ โลว์ไรซ์ 3 โครงการรวด ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ คาดขายหุ้น IPO ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้
นายพีระพงษ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2558 ว่า บริษัทยังคงเน้นลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย โดยเฉพาะอ่อนนุช-แบริ่ง และแบริ่ง-บางปู ซึ่งบริษัทถือเป็นเจ้าตลาดในย่านนี้ รวมถึงการขยายทำเลลงทุนใหม่ๆ โดยมองว่ายิ่งรถไฟฟ้าขยายเส้นทางออกไปยังทำเลใหม่ ก็จะทำให้ทำเลบริเวณนั้นๆ มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น ในขณะที่ราคาจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมในย่านกลางเมือง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เคยเช่าบ้าน หรืออาพาร์ตเมนต์เปลี่ยนมาซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลที่เป็นแหล่งงาน โดยในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ จะเน้นไปที่นิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยของพนักงานในโรงงานในนิคมจำนวนมาก
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าในกลุ่มคนที่ทำงานในโรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมให้ความสนใจซื้อห้องชุดจำนวนมาก และยังมีกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจด้วยเช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีชาวญี่ปุ่นซื้อห้องชุดของบริษัทแล้วกว่า 300 ยูนิต จากโครงการเปิดขายแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นคนทำงานในไทย หรือต้องการบ้านพักหลังที่ 2 ในเมืองไทย เนื่องจากมีราคาถูก
ในปี 2558 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ รวม 1,100 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 2,215 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกจะเปิด 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ ความสูง 8 ชั้น ภายใต้แบรนด์ใหม่ “พอร์ช” ได้แก่ พอร์ช สุขุมวิท 103 จำนวน 250 ยูนิต, โครงการ พอร์ช สุขุมวิท 107 จำนวน 2 อาคาร รวม 157 ยูนิต และโครงการ พอร์ช สุขุมวิท 115 จำนวน 280 ยูนิต ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 20.8-40.1 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรวม 14 โครงการ จำนวน 3,700 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% ซึ่งในปี 2557 ที่ผ่านมาบริษัทมีการเปิดขายโครงการมูลค่ากว่า 2,870 ล้านบาท และมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 โครงการ มูลค่า 1,250 ล้านบาท โครงการที่กำลังก่อสร้าง 5 โครงการ มูลค่า 3,780 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายประมาณ 2,490 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,400 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2556 และมียอดโอนประมาณ 530 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีหลังจากนี้ ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมียอดขายโตจากปี 2557 ประมาณ 20%
นายพีระพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 เชื่อว่าจะมีทิศทางเติบโตได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนปัจจัยเสี่ยงบริษัทมีความเป็นห่วงในเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนอยู่
“แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกนี้อาจจะต้องเผชิญต่อปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว สำหรับปัญหาในประเทศตอนนี้คงนี้ไม่พ้นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่จะฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ดี ก็คงต้องมาลุ้นในครึ่งปีหลังว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด จากการที่ภาครัฐมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเบิกจ่ายงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อว่าถ้ามีการอนุมัติได้เร็วจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดเข้ามาในระบบภาคการผลิต และการก่อสร้าง ทำให้เกิดการจ้างงานส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น” นายพีระพงษ์ กล่าว
ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะมีการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คาดว่าจะสามารถเสนอขายได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 301 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท วัตถุประสงค์ของการระดมเพื่อนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต และหาซื้อที่ดินเพิ่ม