เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 1,200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในสิ้นปีนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์เออีซี จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบและที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยขณะนี้รอทาง ก.ล.ต.อนุมัติไฟลิ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1.2 พันล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,100 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เออีซี จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปใช้ในการซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการของบริษัทในอนาคตและส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยถือหุ้นในบริษัทย่อย 4 แห่ง ได้แก่ 1. บริษัท ไชน่า เซ็นเตอร์ (สาทร-กัลปพฤกษ์) จำกัด ร้อยละ 89.98%, 2. บริษัท เจ.เอส.พี. โกลเด้นท์แลนด์ จำกัด ร้อยละ 99.99%, 3. บริษัท สำเพ็ง 2 พลาซ่า จำกัด ร้อยละ 99.99% และ 4. บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ร้อยละ 99.99% เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบ หรือ Commercial Low Rise และที่อยู่อาศัยที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า มินิออฟฟิศ มินิ แฟคตอรี่ ศูนย์การค้าชุมชน อาคารพาณิชย์ และโครงการที่อยู่อาศัย ประเภททาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสำเพ็ง 2 มูลค่า 7,500 ล้านบาท บนถนนสาทร-กัลปพฤกษ์ เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ พื้นที่ให้เช่า (ศูนย์การค้าให้เช่า ศูนย์อาหาร และตลาดน้ำ) และพื้นที่ให้บริการ (อาคารจอดรถ) โดยคาดว่าไตรมาส 3/2557 พื้นที่ให้เช่า และพื้นที่ให้บริการจะเริ่มเปิดโครงการได้, โครงการไมอามี่ บางปู มูลค่า 5,500 ล้านบาท บนทำเลย่านบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นโครงการที่พักอาศัยภายใต้แนวคิดเมืองติดทะเลที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ประกอบไปด้วยโครงการคอนโดมิเนียม และพื้นที่ให้เช่า (ศูนย์การค้าให้เช่า) และโครงการทิวลิป สแควร์ มูลค่า 1,800 ล้านบาท บนทำเลย่านอ้อมน้อย ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบผสมผสาน ที่มีแนวคิดการออกแบบโครงการให้เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปร่วมสมัย ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์และคอมมูนิตี้มอลล์ โดยคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะทยอยรับรู้รายได้แล้วเสร็จภายใน 3-5 ปีข้างหน้านี้
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดครึ่งปีแรก 2557 บริษัทมีรายได้ 1,699.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 363.13 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากโครงการสำเพ็ง 2 อย่างต่อเนื่องจากปี 2556 ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ปี 2554-2556 โดยในปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 93.47 ล้านบาท และมีกำไรขันต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 9.79 ล้านบาท ส่วนปี 2555 มีรายได้รวม 134.84 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 22.46 ล้านบาท และปี 2556 มีรายได้รวม 847.39 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 250.61 ล้านบาท
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบและที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยขณะนี้รอทาง ก.ล.ต.อนุมัติไฟลิ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1.2 พันล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,100 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เออีซี จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปใช้ในการซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการของบริษัทในอนาคตและส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยถือหุ้นในบริษัทย่อย 4 แห่ง ได้แก่ 1. บริษัท ไชน่า เซ็นเตอร์ (สาทร-กัลปพฤกษ์) จำกัด ร้อยละ 89.98%, 2. บริษัท เจ.เอส.พี. โกลเด้นท์แลนด์ จำกัด ร้อยละ 99.99%, 3. บริษัท สำเพ็ง 2 พลาซ่า จำกัด ร้อยละ 99.99% และ 4. บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ร้อยละ 99.99% เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบ หรือ Commercial Low Rise และที่อยู่อาศัยที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า มินิออฟฟิศ มินิ แฟคตอรี่ ศูนย์การค้าชุมชน อาคารพาณิชย์ และโครงการที่อยู่อาศัย ประเภททาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสำเพ็ง 2 มูลค่า 7,500 ล้านบาท บนถนนสาทร-กัลปพฤกษ์ เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ พื้นที่ให้เช่า (ศูนย์การค้าให้เช่า ศูนย์อาหาร และตลาดน้ำ) และพื้นที่ให้บริการ (อาคารจอดรถ) โดยคาดว่าไตรมาส 3/2557 พื้นที่ให้เช่า และพื้นที่ให้บริการจะเริ่มเปิดโครงการได้, โครงการไมอามี่ บางปู มูลค่า 5,500 ล้านบาท บนทำเลย่านบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นโครงการที่พักอาศัยภายใต้แนวคิดเมืองติดทะเลที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ประกอบไปด้วยโครงการคอนโดมิเนียม และพื้นที่ให้เช่า (ศูนย์การค้าให้เช่า) และโครงการทิวลิป สแควร์ มูลค่า 1,800 ล้านบาท บนทำเลย่านอ้อมน้อย ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบผสมผสาน ที่มีแนวคิดการออกแบบโครงการให้เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปร่วมสมัย ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์และคอมมูนิตี้มอลล์ โดยคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะทยอยรับรู้รายได้แล้วเสร็จภายใน 3-5 ปีข้างหน้านี้
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดครึ่งปีแรก 2557 บริษัทมีรายได้ 1,699.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 363.13 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากโครงการสำเพ็ง 2 อย่างต่อเนื่องจากปี 2556 ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ปี 2554-2556 โดยในปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 93.47 ล้านบาท และมีกำไรขันต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 9.79 ล้านบาท ส่วนปี 2555 มีรายได้รวม 134.84 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 22.46 ล้านบาท และปี 2556 มีรายได้รวม 847.39 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 250.61 ล้านบาท