xs
xsm
sm
md
lg

เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ ปรับแผนมุ่งหน้าเข้า mai

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) กล่าวว่า บริษัทตัดสินใจปรับแผนมาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) แทนการเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ส่วนหนึ่งเพราะต้องการเร่งดำเนินการในช่วงที่ตลาด IPO เอื้อต่อการระดมทุน โดยหวังว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาด mai ได้ภายในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ไปแล้ว ขณะนี้รอทางก.ล.ต.พิจารณาอนุมัติ คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้

"การเข้าตลาด mai บริษัทก็ไม่ต้องรอให้ผลกำไรครบตามเกณฑ์ของ SET ก็เข้าได้ และไม่เสียโอกาสในการระดมทุนด้วย เพื่อจะได้มีเงินเข้ามาก่อสร้างโครงการได้เร็วขึ้น"นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า

นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยเน้นไปที่แถบชานเมืองและปริมณฑล โดยในปี 58 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ซึ่งยังคงเป็นโครงการเชิงพาณิชย์แนวราบ (Commercial Low Rise) หลังจากไตรมาส 4/57 จะเปิดตัวโครงการใหม่คือ"สำเพ็ง เรสซิเดนท์ คอนโดฯ"เป็นคอนโดมิเนียมเพื่อการพักอาศัยในเดือน พ.ย.นี้ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 20 ไร่ จำนวน 2,800 ยูนิต คาดใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี

"เราไม่มีคู่แข่งเพราะเราสร้างจุดแข็งของเราเอง เราชอบสร้างเมืองซึ่งจะมีทั้งที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ รวมกัน เน้นทำเลใกล้ชุมชน ปริมณทลมากกว่ารถไฟฟ้า"นายทนงศักดิ์ กล่าว

อนึ่ง JSP มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 1.2 พันล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,100 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แต่งตั้ง บล.โนมูระ พัฒนสิน(CNS) และ บล.เออีซี (AEC) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจำหน่ายหุ้น IPO ในครั้งนี้

ทั้งนี้ สัดส่วนการถือหุ้นก่อนเสนอขาย IPO กลุ่มมโนธรรมรักษา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ราว 50% และภายหลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 40% แต่ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งต่อไป

นายทนงศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าในปี 57 รายได้รวมจะเติบโตได้ถึง 200% จากปี 56 เนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้มีรายได้แล้ว 1,700 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)ราว 6,600 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จาก 3 โครงการใหญ่ รวมมูลค่าโครงการกว่า 15,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสำเพ็ง 2 มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ พื้นที่ให้เช่า, โครงการไมอามี่ บางปู มูลค่าโครงการราว 5,500 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม และพื้นที่ให้เช่า และ โครงการทิวลิป สแควร์ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนยม อาคารพาณิชย์ และคอมมูนิตี้มอลล์

อนึ่ง ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 57 มีรายได้ 1,699 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 363 ล้านบาท หลังจากรับรู้รายได้โครงการสำเพ็ง 2 ต่อเนื่อง ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 56 มีรายได้ 847 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ราว 250 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น