xs
xsm
sm
md
lg

CK ไล่ซื้อหุ้นค้านควบรวม BMCL-BECL หวังเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่ 30%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ปลิว  ตรีวิศวเวทย์
ช.การช่าง หนุนควบรวม BMCL-BECL เล็งถือหุ้นทั้ง 2 บริษัทในสัดส่วน 10% พร้อมเดินหน้าซื้อหุ้นในส่วนของผู้คัดค้านหวังเพิ่มสัดส่วนบริษัทใหม่หลังการควบรวม 30% แจงขายหุ้น XPCL ให้ CKP มูลค่ารวม 4,344 ล้านบาท เป็นไปตามแผนลดความเสี่ยง มั่นใจบริษัทใหม่หลังควบรวมศักยภาพแข่งขันสูง สามารถแข่งขันได้ทั้งใน และต่างประเทศ ระบุมีความพร้อมทุกด้าน ทั้งการเงิน การแข่งขัน บุคลากร โนว์ฮาว มั่นใจรายได้ปี 57 เกินกว่า 33,000 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 10% แจง Backlog ปี 57 รวม 104,928 ล้านบาท

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK กล่าวว่า การควบรวมบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) และบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) ถือเป็นการปรับโครงสร้างการลงทุนที่สำคัญของกลุ่มบริษัทในปีนี้ ร่วมถึงการขายหุ้นบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ให้แก่ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน) (CKP) เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และศักยภาพของที่สำคัญด้วย

ทั้งนี้ การควบรวมกิจการระหว่าง BECL กับ BMCL จะส่งผลดีต่อทั้ง BMCL และ BECL เนื่องจากบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชน และคมนาคมแบบครบวงจร ซึ่งมีความสามารถในการขยาย และต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการเงิน การดำเนินงาน และการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถลงทุนได้ทั้งใน และต่างประเทศ โดยบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมนี้ส่งผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

“ช.การช่าง สนับสนุนการควบรวมระหว่างบริษัท BMCL และ BECL ซึ่ง ช.การช่าง มีแผนเดินหน้าเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 10% ของมูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่เกิดบริษัทใหม่จากควบรวมแล้ว ซึ่งจะทำให้ ช.การช่าง จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ประมาณ 30%”

นายปลิว กล่าวว่า สำหรับการขายหุ้นของ XPCL ให้แก่ CKP นั้น เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้แต่เดิมที่จะให้ CKP เป็นเจ้าของโครงการไซยะบุรี เพราะเมื่อโครงการไซยะบุรี มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินการลงทุนน้อยลง ช.การช่าง จึงขายหุ้น XPCL ให้ CKP มูลค่ารวม 4,344 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย โดย CKP ถือว่าได้ซื้อโครงการที่มีความสำคัญ และผลตอบแทนการลงทุนที่ดี ช่วยให้ไม่ต้องแบกภาระการลงทุนที่สูงเกินไป เพราะหากรอจนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการนี้จะมีราคาสูงมาก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนโครงการที่ CKP จะได้รับต่ำลง ขณะเดียวกัน ในส่วนของบริษัทเองก็สามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าว และได้รับกระแสเงินสดเข้าสู่บริษัท

อย่างไรก็ตาม CK มั่นใจว่า การปรับโครงสร้างการลงทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ จะทำให้บริษัทที่เกิดจากการควบรวม BMCL และ BECL และ CKP มีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพเพิ่มขึ้น และสามารถลงทุนดำเนินงาน และพัฒนาโครงการใหม่ๆ รองรับการเติบโตของตลาดทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในระบบขนส่งมวลชน ทั้งทางราง และถนน และธุรกิจพลังงาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ ช.การช่าง ร่วมกับบริษัทในกลุ่มทั้งหมด รวมถึง TTW ได้จัดเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้ครบถ้วน ทั้งทรัพยากร บุคลากร การเงิน พันธมิตรต่างๆ พร้อมที่จะลงทุนดำเนินการโครงการต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่า และลาว ซึ่งเป็น 2 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีการเจริญเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก

นายปลิว กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของปี 57 ที่ผ่านมา ช.การช่าง มีผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย โดยคาดว่ามีรายได้ทั้งปีเกินกว่า 33,000 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 10% งานก่อสร้างที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหาย ทั้งในส่วนของงานก่อสร้าง และงานลงทุนระบบสาธารณูปโภค และเพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการเปิด AEC ในเดือน ธ.ค.58 ซึ่งได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน และการลงทุนต่างๆ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของงานก่อสร้างที่ดำเนินการอยู่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงสนามไชย-ท่าพระ ซึ่งดำเนินการขุดเจาะอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาอุโมงค์แรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มขุดเจาะอุโมงค์ที่ 2 ในเดือน มี.ค.58 โดยรวมมีความก้าวหน้ากว่า 60% โครงการทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก มีความก้าวหน้า 33% คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จ และเปิดให้บริการได้เร็วกว่ากำหนดในสัญญา โครงการจัดหาและติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ มีความก้าวหน้า 30% โดยรถไฟฟ้าขบวนแรกจะถึงประเทศไทยในปลายปี 58 และ BMCL จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในกลางปี 59 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในเดือน ส.ค.59 โครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี มีความก้าวหน้ากว่า 45%

ส่วนงานใหม่ที่เป็น Backlog ในปี57 ที่ผ่านมา แม้ว่าภาครัฐจะมีโครงการใหม่เกิดขึ้นน้อยมาก บริษัทฯ ยังคงมีงานใหม่จากบริษัทในกลุ่มที่ลงทุนเอง และงานเพิ่มเติมอื่นๆ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางปะอิน เฟส 2 มูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาท งานก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปา มูลค่า 3,500 ล้านบาท และงานก่อสร้างเพิ่มเติมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีเขียว และสีม่วง ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้ Backlog ณ สิ้นปีของบริษัทฯ อยู่ที่ 104,928 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น