ธปท. ไฟเขียวสถาบันการเงินสามารถทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ได้ทันที ส่วนนอนแบงก์ ให้ยื่นขอจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยมีผู้ประกอบการสนใจ 14 ราย
นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกประกาศเรื่องการประกอบธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และนำลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2558 ล่าสุด มีผู้ประกอบการสนใจทำธุรกิจแล้ว 14 ราย ส่วนใหญ่เป็นนอนแบงก์ ซึ่งต้องยื่นคำขออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยยื่นผ่าน ธปท. คาดว่าแต่ละรายจะปล่อยสินเชื่อหลังได้รับอนุญาตไม่เกิน 400 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุนสามารถทำได้ทันที
สำหรับนาโนไฟแนนซ์ เป็นสินเชื่อที่ให้แก่บุคคลธรรมดาวงเงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท วัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ โดยมีกระบวนการให้สินเชื่อที่ยืดหยุ่นสอดคล้องต่อคุณลักษณะของกลุ่มลูกหนี้ เช่น ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ เป็นต้น และไม่มีหลักประกัน อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมทุกประเภทรวมกันไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective rate)
ทั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้จากเดิมต้องกู้เงินนอกระบบ โดยปี 2556 ธปท. สำรวจพบว่า ประชาชนมากถึงเกือบ 600,000 ครัวเรือน กู้เงินนอกระบบ ขณะที่ประชากรมากถึง 1.3 ล้านครัวเรือน ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้
นายรณดล กล่าวว่า ธปท.กำหนดให้ผู้ทำธุรกิจต้องส่งแผนการดำเนินงาน และนโยบายธุรกิจการให้สินเชื่อ เช่น แนวทางคัดกรองสินเชื่อ กระบวนการติดตามหนี้ พร้อมกับต้องจัดทำรายงานส่งให้ ธปท.เป็นรายเดือน การดำเนินการนี้ถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังไม่กำหนดให้ผู้ทำธุรกิจนี้ต้องเข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโรแต่อย่างใดในขณะนี้
สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการ คือ ต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินรวมทั้งสิ้นต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 7 เท่า กรณีที่มีอัตราส่วนดังกล่าวเกินกว่าที่กำหนดจะต้องดำเนินการปรับลดให้อยู่ในอัตราที่กำหนดภายในวันที่ 23 มกราคม 2559 หรือ 1 ปีนับแต่วันที่ประกาศ ธปท.มีผลบังคับใช้
นายรณดล กล่าวถึงกรณีที่มีปัญหาการทุจริตเงินในสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ขอยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สื่อสาร และขอให้แต่ละธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิดไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก และขณะนี้ยังคงมีการประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวน และเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ระบบเงินฝากของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งมีความรัดกุม และชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของพนักงาน เป็นเรื่องของบุคคลที่ไม่ปฏบัติตามแนวทางเหล่านี้ แม้จะกำหนดเอาไว้ ซึ่งแต่ละธนาคารยังได้เสริมมาตรการ และมีการตรวจสอบสาขาของตนในแต่ละปีอยู่แล้ว
