“โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์” งวดสิ้นปี 57 ฟื้นกำไร 1,015 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 5,199 ล้านบาท ผลดีจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ ดันตัวเลข EBITDA ปี 58 ขยายการลงทุนในธุรกิจหลากหลาย
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 57 สิ้นสุด 30 ก.ย.57 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,015 ล้านบาท นับเป็นผลกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยสามารถพลิกจากผลขาดทุนสุทธิที่ 5,199 ล้านบาทในปี 56 โดยในรอบปี 57 TTA มีรายได้รวมทั้งสิ้น 21,431 ล้านบาทเติบโตจากปีก่อน 16% จากผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะที่ผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นถึง 507% มาเป็น 1,028 ล้านบาท ก่อนหักรายการปรับปรุงทางบัญชี 13ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิตลอดปี 57 เท่ากับจำนวนดังกล่าว
“ปี 57 ที่ผ่านมา เราสามารถสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ธุรกิจต่างๆ ในพอร์ตได้เป็นอย่างดี โดยเราได้เพิ่มการลงทุนในธุรกิจหลักเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเราเพิ่มการลงทุนในเมอร์เมด เพื่อสั่งต่อเรือขุดเจาะท้องแบน (tender rigs) 2 ลำ และเรือสนับสนุนงานการปฏิบัติการใต้น้ำ (dive support vessel) 1 ลำ เราขยายกองเรือของโทรีเซน ชิปปิ้ง ด้วยการซื้อเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองประเภท SupraMax มือสอง 6 ลำ และเปิดสำนักงานขายแห่งใหม่ในแอฟริกาใต้ เพื่อให้โทรีเซน ชิปปิ้ง สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น และเรายังเพิ่มกำลังการผลิตของปุ๋ยชนิดใหม่เพื่อขยายการส่งออกให้กับบาคองโคอีกด้วย”
นอกจากนี้ ในส่วนของ เมอร์เมด มาริไทม์ บริษัทย่อยก็สามารถทำผลงานได้ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำไรสุทธิ 832 ล้านบาท ในปี 57 เพิ่มขึ้น 165% จากกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท ในปี 56 โดยเป็นผลมาจากการการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งธุรกิจให้บริการวิศวกรรมใต้ทะเลและธุรกิจให้บริการเรือขุดเจาะการที่ทั้ง 2 ธุรกิจสามารถหาสัญญาระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้รายได้รวมของเมอร์เมดอยู่ที่ 10,088 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 22% นอกจากนี้ การที่ธุรกิจวิศวกรรมใต้ทะเลได้สัญญาจ้างงานแบบครบวงจร ยังส่งให้อัตราค่าจ้างรายวันเพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อน นอกจากนี้ เมอร์เมดยังรักษาอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือที่เราเป็นเจ้าของอยู่ที่ระดับ 66% เท่ากับปีก่อน ในขณะเดียวกัน เมอร์เมด ยังมีการเช่าเรือมาเสริมเพื่อให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เมอร์เมดมีรายได้สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งผลกำไรของบริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่ง หรือ AOD ซึ่งเมอร์เมดมีหุ้นอยู่ 33.8% เพิ่มขึ้นจาก 128 ล้านบาท ในปี 56 มาอยู่ที่ 1,010 ล้านบาท ในปี 57 เติบโตสูงขึ้นถึง 687% ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้เต็มปีของสัญญา 3 ปีของการให้บริการเรือขุดเจาะแบบสามขาทั้ง 3 ลำ ที่ทำไว้กับบริษัทน้ำมันซาอุดิ อารามโค ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของงเมอร์เมดเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 64 % มาอยู่ที่ 2,495 ล้านบาท
สำหรับ โทรีเซน ชิปปิ้ง โชว์ผลกำไรเติบโต โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 355 ล้านบาท จากความสามารถในการสร้างรายได้ และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมองอุตสาหกรรมเรือขนส่งเทกองมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งโทรีเซน ชิปปิ้ง มีรายได้จากค่าระวางเรือทั้งสิ้น 6,887 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 45% เนื่องจากการขยายกองเรืองและเช่าเรือมาเสริมกองเรือเพื่อรองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้จำนวนวันในการใช้เรือเพิ่มมากขึ้น และรายได้จากค่าระวางเรือสูงขึ้น ทำให้ตัวเลข (EBITDA) อยู่ที่ 1,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 132%
สำหรับ บาคองโค ยังคงมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งทั้งธุรกิจปุ๋ย และธุรกิจคลังสินค้า โดยสามารถทำกำไรสุทธิ 345 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36% ในขณะที่ UMS มีผลขาดทุนลดลง 64% และยอดหนี้สถาบันการเงินลดลงกว่าเท่าตัว
“ปี 58 เราจะยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงไปในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีการเจริญเติบโตสูง เหมือนเช่นที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วกับการลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นของบริษัท ไซโน แกรนด์เนส ฟู้ดส์ อินดัสตรี กรุ๊ป จำกัด (SGFI) ซึ่งเป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีการเติบโตสูงในจีน และอยู่ในระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจากผู้ถือหุ้น และตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ เชื่อว่าด้วยประสบการณ์และเครือข่ายทางด้านลอจิสติกส์ในระดับสากลที่เรามีอยู่ จะช่วยเปิดลู่ทางตลาดส่งออกสินค้าของ SGFI ให้กระจายไปยังประเทศอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี”