เสี่ยกึ้ง ควักกระเป๋า 954 ล้านบาท ให้บริษัทลูกเข้าซื้อหุ้นแบบนักลงทุนเฉพาะรายของ Sino Grandness เจ้าตลาดเครื่องดื่มและอาหารในจีน เหตุกลุ่มผู้บริโภคมีความใส่ใจเทรนด์สุขภาพมากขึ้น เผยพร้อมบุกตลาดอาเซียนรับ AEC
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA กล่าวว่า บริษัทได้ให้ โซลีอาโด โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าซื้อหุ้นออกใหม่ที่ขายเฉพาะให้กับนักลงทุนเฉพาะราย (PP)ของ บ.ไซโน แกรนด์เนส ฟู๊ด อินดัสตรี กรุ๊ป (Sino Grandness) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารกระป๋องและเครื่องดื่มผลไม้ในประเทศจีน จำนวน 60,601,035 หุ้น ในราคา 0.61 เหรียญสิงคโปร์ต่อหุ้น มูลค่าการลงทุนรวมสุทธิเท่ากับ 39,966,631 เหรียญสิงคโปร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 954,293,588 ล้านบาท
“ขณะนี้บริษัทฯมีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ ซึ่งเรามองว่าการลงทุนครั้งนี้มีมูลค่าใกล้เคียงกับการซื้อเรือหนึ่งลำ โดยราคาไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจดั้งเดิมของบริษัท อีกทั้งผู้บริโภคให้ความใส่ใจกับธุรกิจเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องได้อย่างดีมากกว่าเครื่องดื่มประเภทอื่นๆที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ”
ทั้งนี้ บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ให้บริษัท โซลีอาโด โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำการจองซื้อหุ้นสามัญออกใหม่ของ SINO GRANDNESS เพื่อขายให้กับนักลงทุนเฉพาะราย (PP) จำนวน 60,601,035 หุ้น ในราคา 0.61 เหรียญสิงคโปร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่มีส่วนลดประมาณ 8% จากราคาตลาดคิดถัวเฉลี่ย ณ วันที่ 30 กันยายน ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ 39,966,631 เหรียญสิงคโปร์ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 954,293,588 บาท และการจองซื้อหุ้นนี้ ยังต้องรอการพิจารณาจากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเมื่ออนุมัติแล้ว TTA จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับสอง และได้สิทธิแต่งตั้งกรรมการ 1 ตำแหน่ง โดย SINO RANDNESS เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสินค้าประเภทนี้ที่ประเทศจีน โดยรายได้ของ SINO GRANDNESS เมื่อปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 2,271 ล้านหยวน (หรือประมาณ 11,952 ล้านบาท) ซึ่งมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 52% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนกำไรเบื้องต้นและสัดส่วนกำไรสุทธิโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 39% และ 18% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อรักษาอัตราการเติบโตที่รวดเร็วของธุรกิจและกำไรไว้ SINO GRANDNESS จึงได้มองหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม และมีแผนที่จะขยายตลาดมายังแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการขายหุ้น PP ดังกล่าวจะนำเงินที่ได้ไปขยายโรงงานเพิ่มเติม ซื้อเครื่องจักรใหม่ และใช้เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามคาดว่าช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ TTA จะได้รับสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการหนึ่งตำแหน่ง และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับสองรองจาก นาย หวง ยู่เผิง ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SINO GRANDNESS ที่ถือครองหุ้นจำนวน 35%
“การลงทุนในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ TTA ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ให้ผลกำไรดี และเรามีความสามารถที่จะทำได้ การที่บริษัท SINO GRANDNESS สามารถทำกำไรและมียอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ เป็นเพราะบริษัทนี้ทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในตลาดสำหรับการบริโภคขนาดที่ใหญ่ที่สุดและมีเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของโลกอย่างจีน อีกทั้งอาหารและผลไม้บรรจุขวดหรือกระป๋องก็มักจะเป็นที่นิยมของผู้บริโภคระดับกลาง ดังนั้น การลงทุนของเราน่าจะเติบโตไปได้ด้วยดีกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนชนชั้นกลางในประเทศจีนที่มีประชากรเฉลี่ยกว่า 1.4 พันล้านคน ซึ่งในปีที่ผ่านมาผลประกอบการของ SINO GRANDNESS สามารถทำกำไรได้กว่า 2,200 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20-30%ต่อเนื่องทุกปี ในประเทศจีน และมีความพร้อมในการที่จะขยายตลาดมายังภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับตลาด AEC ที่มีอัตราเติบโตและกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯมองว่าการเข้าไปทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัทที่มีอยู่ในสัดส่วนพลังงาน 50% ธุรกิจชิปปิ้ง 30% และธุรกิจการผลิตปุ๋ยและโกดังสินค้าของ TTA อีก 20% ซึ่งส่วนแบ่งกำไรที่เกิดขึ้นจากธุรกิจของ SINO GRANDNESS จะสามารถรับรู้ได้ในไตรมาสหน้า"
ขณะที่ในส่วนของการนำบริษัท บริษัท พี เอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ (PMTA) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น บริษัทฯมีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนออกไปก่อน เป็นอย่างน้อยต้นปีหน้า เนื่องจากบริษัทยังติดปัญหาในส่วนข้อมุลผู้ถือหุ้นที่จะต้องแก้ไขข้อมูลเสนอไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. บริษัทจึงได้เปลี่ยนเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในธุรกิจของ SINO GRANDNESS แทน นอกจากนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศอยู่อย่างน้อย 2-3 บริษัท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างน้อย 1 บริษัทภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้