มั่นคงฯ เผยไตรมาส 2/57 ยอดรับรู้รายได้ 508.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.55% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง 26.95% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เหตุไม่มีการรับรู้รายได้จากคอนโดฯ อัตราส่วนกำไรเบื้องต้นพุ่ง 39.01% จากกำไรขั้นต้นของแนวราบที่สูงกว่าคอนโดฯ ฉุดกำไรสุทธิโต 75.63% ด้าน “ไรมอนแลนด์” แจงกำไรสุทธิครึ่งปีแรกทะยาน 795.7 ล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันของปี 2556 กว่า 107% “อนันดา” โชว์กำไรสุทธิ Q2 กว่า 319 ล้านบาท โตก้าวกระโดดจากไตรมาสแรก 188% เล็งปรับเป้าขายเพิ่ม หลังยอดขายสูงเกินคาด พร้อมประกาศจ่ายปันผล
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK กล่าวว่า ในไตรมาส 2/57 บริษัทมียอดรับรู้รายได้จากการขายและบริการ 508.36 ล้านบาท ลดลง 26.95% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปีนี้ไม่มีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมเช่นปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มสูงขึ้น 20.55% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยโครงการหลักที่สร้างรายได้ในไตรมาสนี้ ได้แก่ ไพรเวทพาร์ค ชวนชื่นซิตี้, ชวนชื่น จรัญฯ 3 และชวนชื่น โมดัส วิภาวดี ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2557 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายและบริการ จำนวน 930.06 ล้านบาท ลดลง 27.50% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 1,282.88 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากไม่รวมรายได้จากคอนโดมิเนียมแล้ว บริษัทฯ มีรายได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา 27.38%
ในไตรมาสที่ 2/2557 บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 198.32 ล้านบาท ลดลง 18.53% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 243.43 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 22.26% จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 162.22 ล้านบาท ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นของแนวราบที่สูงกว่าคอนโดมิเนียม ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้เท่ากับ 39.01% สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการโอนคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 34.98% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 38.47% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสนี้เท่ากับ 100.90 ล้านบาท ลดลง 3.84% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 104.93 ล้านบาท และใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 101.63 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขาย (SG&A to Sales) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 15.08% ในไตรมาส 2/2556 เป็น 19.85% เนื่องจากฐานรายได้ที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาในไตรมาสนี้ หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 78.64 ล้านบาท คิดเป็น 0.09 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 75.63% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 44.78 ล้านบาท แต่ลดลง 30.89% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 113.78 ล้านบาท โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ประจำไตรมาส 2/2557 เท่ากับ 15.32% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 16.16% แต่สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 10.55%
สำหรับงวด 6 เดือน บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 123.42 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น 38.77% สูงกว่าปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 34.14% ด้วยปัจจัยของคอนโดมิเนียมที่ได้กล่าวข้างต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 4.22% จาก 211.46 ล้านบาท เป็น 202.53 ล้านบาท โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขาย (SG&A to Sales) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 16.48% ในครึ่งแรกของปี 2556 เป็น 21.78% ในปีนี้ และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือนเท่ากับ 123.42 ล้านบาท คิดเป็น 0.14 บาทต่อหุ้น ลดลง 32.90% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 183.92 ล้านบาท สำหรับอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.16% ลดลงจากอัตรา 14.17% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ที่อยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาจาก 0.28 เท่าเป็น 0.32 เท่า ในส่วนของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 125.36 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าโครงการระหว่างพัฒนา สำหรับหนี้สินปรับตัวเพิ่มขึ้น 174.11 ล้านบาท จากการกู้ยืมเงินระยะยาวเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ และจากการที่บริษัทฯ ใช้จ่ายเงินเพื่อจัดหาที่ดินเพิ่ม รวมถึงการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องทำให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นลบ (52.01 ล้านบาท) จากที่เคยเป็นบวกในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 172.33 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ทำให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นลบ (19.18 ล้านบาท) จากเดิมที่ลบ (512.97 ล้านบาท) ในครึ่งแรกของปี 2556
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2557 สำหรับผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2557-30 มิ.ย.2557 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 12 กันยายน 2557 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 และปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 29 สิงหาคม 2557 อนึ่ง การจ่ายเงินปันผลประจำปี 2556 ที่ผ่านมา อยู่ที่อัตราหุ้นละ 0.30 บาท
นายจอห์นสัน ตัน กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอน แลนด์ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ของปี 2557 มีรายได้รวม 1,900 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 432.7 ล้านบาท สูงกว่ากำไรสุทธิของไตรมาสที่ผ่านมา19.2% และสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา 89.7% นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถทำกำไรต่อเนื่อง 9 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งทำให้บริษัทไม่มีผลขาดทุนสะสมคงเหลืออีกต่อไป
ทั้งนี้ โครงการอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ระหว่างการขยายของบริษัทขณะนี้ ประกอบด้วยโครงการ 185 ราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่งดำเนินการแล้วเสร็จของบริษัท มีการขายห้องชุดออกได้แล้ว 86% และดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้วกว่า 40% ส่วนโครงการ เดอะ ริเวอร์ มียอดขายแล้ว 93% ของห้องชุดทั้งหมด และได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดไปแล้วถึง 98% ของห้องชุดที่ขายไปแล้ว ขณะที่โครงการ เดอะ ลอฟท์ เอกมัย มียอดขายที่ดีมาก โดยมียอดขายแล้ว 72% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด หลังเปิดตัวโครงการไป 1 ปี โดยคาดว่า โครงการจะแล้วเสร็จตามกำหนดในไตรมาส 4 ของปี 2559
ส่วนโครงการที่ตั้งอยู่ในพัทยานั้น 89% ของโครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ ขายออกไปแล้ว คงเหลืออยู่เพียง 51 ยูนิต และการตรวจรับห้องชุดจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนกันยายนนี้ โดยโครงการนี้มีกำหนดสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ การก่อสร้างและดำเนินการโครงการ ยูนิกซ์ เซาท์พัทยา ก็เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และขณะนี้การก่อสร้างอาคารหลักดำเนินไปถึงชั้น 17 และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 ได้จำหน่ายห้องชุดออกไปแล้วถึงเกือบร้อยละ 60 โครงการนี้คาดว่า จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ของปี 2558
“ด้วยนโยบายที่กำหนดให้มีการวางเงินมัดจำค่อนข้างสูง คือ ราวร้อยละ 25-40 ของราคาขาย ทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากอัตราการยกเลิกการโอนที่ต่ำมาก (ราวร้อยละ 1) และทำให้บริษัทมั่นใจว่ามียอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ที่แน่นอนแล้วถึง 11.5 พันล้านบาท (353 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเหลือ 1.40 ซึ่งตัวเลขนี้ได้ลดลงอย่างมากจาก 3.56 ในช่วงที่คณะผู้บริหารชุดใหม่มาถึง”
“ผลการดำเนินงานล่าสุดถือเป็นบทพิสูจน์อีกบทหนึ่งว่าการพลิกฟื้นบริษัท ไรมอน แลนด์ ได้สำเร็จลุล่วงลงแล้ว และขณะนี้ เราก็มายืนอยู่ในด้านตรงข้ามด้วยกำไรของบริษัทที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ในขณะที่ตลาดอสังหาฯ กำลังปรับตัวจากการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และทำให้เราสามารถมองหาและเลือกซื้อที่ดินใหม่ที่น่าสนใจที่ตรงกับวิสัยทัศน์ของเราซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ”นายจอห์นสัน ตัน กล่าว
นางมัณทนา เอื้อกิจขจร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทมีความปลาบปลื้มในการประกาศความสำเร็จที่สามารถสร้างรายได้ และกำไรที่ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่ายอดโอนสิทธิ์บางส่วน จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ แต่ด้วยความต้องการซื้อจากลูกค้าที่แข็งแกร่งและมีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรุกจัดกิจกรรมทางการตลาดที่ผ่านมาเป็นตัวช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตกว่า 166% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 36% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ระดับ 34% และอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ระดับ 13% จากไตรมาสแรกที่รายงานเพียง 6% สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดียิ่ง โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 19% จากไตรมาสแรกที่ 24%”
นายเท็ด โปษะกฤษณะ ถิระพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาสสองของปีนี้ ประสบผลสำเร็จดีเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 109% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้ายังคงได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง แม้ว่าจะเกิดสถานการณ์ทางการเมือง และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยยอดขายคอนโดเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่ตั้งเป้าไว้ 200% แม้ว่าไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่แต่อย่างใด ซึ่งยอดขายในไตรมาสนี้มาจากโครงการเดิมทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของลูกค้า ในการมีที่อยู่อาศัยใกล้ระบบขนส่งแบบราง แม้ว่าไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆก็ตาม
“ลูกค้าของอนันดาฯ ยังไม่มีสัญญาณของปัญหาทางการเงิน แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง โดยลูกค้าที่ซื้อด้วยเงินสดยังมีมากถึง 35% และลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมของบริษัทสามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินผ่านทุกราย ซึ่งกำลังจะสร้างสถิติที่น่าทึ่งว่า ในปี 2557 ลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมของบริษัทจะขอสินเชื่อผ่านทุกราย”
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดาฯ กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก สามารถสร้างรายได้ และยอดขายที่ดีเกินกว่าเป้าที่วางไว้ แม้ว่าในช่วงสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนก็ตาม
ทั้งนี้ บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและโดดเด่นในครึ่งปีแรก แม้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมก็ตาม นอกจากนี้ บริษัทมีมุมมองเชิงบวกมากยิ่งขึ้น จากจุดต่ำที่สุดที่เกิดขึ้น และแผนในการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงทำให้บริษัทมีแผนปรับเพิ่มยอดขายทั้งปี 2557 นี้
“อนันดาฯ มีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด หลังจากที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปลายปี 2555 โดยบริษัทสามารถสร้างกำไรในไตรมาสสองของปี 2557 ถึง 319 ล้านบาท เทิร์นอะราวนด์อย่างชัดเจน จากที่ขาดทุน 96 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทก็ซื้อที่ดินซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต และเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ด้วย”
จากการออกหุ้นกู้ระยะเวลา 3 ปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท ในระดับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.4% ต่อปี ทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดการเงินได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดหาเงินทุนซึ่งเพียงพอสำหรับการเติบโต แม้ในช่วงวิกฤตทางการเมืองก็ตาม
การประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.03 บาทต่อหุ้นในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายที่ให้ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลที่สามารถคาดการณ์ได้ และเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับ 23% จากกำไรสุทธิในงบการเงินรวม ขณะที่บริษัทยังสามารถนำเงินทุนที่มีอยู่ ไปลงทุนตามแผนดำเนินธุรกิจระยะยาว 5 ปี และสร้างเงินปันผลที่คาดการณ์ได้ ปราศจากความผันผวนของราคาหุ้น และกำไรในระยะสั้น