CENTEL ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 19,000 ล้านบาท เหตุการเมืองกระทบการท่องเที่ยว ยอดลูกค้าลดลงเหลือ 70-80% เผยทุ่มงบลงทุน 1,900 ล้าน จ่อเจรจาซื้อโรงโรงแรมใหม่ ส่วนกอง REIT อาจเลื่อนออกเป็นปีหน้า
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการฝ่ายการเงินและบัญชี บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 19,000 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 1,322 ล้านบาท พร้อมทั้งคาดว่าจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 4.7% โดยบริษัทฯ ได้ปรับลดสัดส่วนการเข้าพักในปีนี้ลงเหลือ 70-80% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 81-82% หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง แต่อย่างไรก็ดี หลังจากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เริ่มส่งสัญญาณที่ดีมากขึ้นในธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างประเทศที่เริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง ทั้งจากยุโรป และสหรัฐฯ อีกทั้งบริษัทฯได้ปรับปรุงในเรื่องการลดต้นทุน และรายจ่ายต่างๆ ลง ตลอดถึงการบริหารต้นทุนมาร์จิ้นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน โดยจะลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวเข้าพักน้อยลง แต่รายได้จากโรงแรมที่เกาะมัลดีฟส์ ได้ช่วยเข้ามาหนุนยอดขายถึง 15% ของยอดขายรวม และรายได้จากการประชุมสัมมนาก็มีเพิ่มเข้ามาด้วย โดยมีอัตรากำไรสุทธิของมัลดีฟส์ดีกว่าโรงแรมในประเทศไทย 4-5% ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 2 เดือน สถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นหลังจากนี้”
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงแรมที่อยู่ในการบริหารทั้งสิ้น 43 แห่ง มีแบรนด์ธุรกิจอาหาร 12 แบรนด์ รวม 743 สาขา ซึ่งคาดว่าจะมีแบรนด์ธุรกิจอาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ในปีนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปีนี้ที่ 1,900 ล้านบาท โดยจะใช้เพื่อการปรับปรุงธุรกิจโรงแรม และอาหารที่มีอยู่จำนวน 1,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการเปิดโรงแรมใหม่แบรนด์โคซี่ ในปีนี้อีก 2 แห่ง มูลค่า 254 ล้านบาท และในปีหน้าจะสร้างอีก 1 แห่ง
ในส่วนของกอง REIT ที่บริษัทฯ จะทำ โดยจะนำธุรกิจโรงแรมทั้งใน และต่างประเทศ จำนวน 4-5 แห่งเข้าไปจัดตั้ง โดยประเมินสินทรัพย์มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะออกได้ตั้งแต่ในช่วงต้นปี แต่เพราะมีปัญหาทางการเมืองจึงมีการเลือนออกไปอีก ทั้งปัญหาด้านกฎเกณฑ์ทางภาษีที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยล่าสุด ได้มีการเจรจากับที่บรีษัทปรึกษาในการนำเข้าจดทะเบียน ซึ่งคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และดำเนินการซื้อขายได้ในช่วงต้นปีหน้า