บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP ประมาณการรายได้ และกำไรในปีนี้เพียง 700-800 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้และกำไรกว่า 1,067 ล้านบาท สาเหตุจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉลี่ย 2 เดือนแรกของปีมูลค่าซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อวันเพียง 2.8 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้วที่ซื้อขายกว่า 4 หมื่นล้านบาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรในปีนี้จะเติบโตต่ำกว่าปีก่อนโดยจะอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้และกำไรกว่า 1,067 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้มีปัญหาจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาจากปีที่แล้ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายปรับลดลงมาอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท จากการซื้อขายในช่วงปกติเฉลี่ยทั้งปี 56 อยู่ที่ 48,000 ล้านบาท
“บริษัทฯ ประเมินว่าไตรมาสแรกของปีนี้จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดของอุตสากรรมโบรกเกอร์ ทั้งในส่วนของวาณิชธนกิจ และการค้าหลักทรัพย์ ตลอดจนงานที่ปรึกษาทางการเงิน เนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองที่ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเบาบางมากในช่วง 2 เดือนแรกของปี และความต้องการในการลงทุนของนักลงทุนในทุกกลุ่ม และการเตรียมเข้าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทต้องมีการเลื่อนออกไป โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเฉพาะได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม การท่องเที่ยว ขนส่ง และโรงแรม”
อย่างไรก็ตาม งานด้านวาณิชธนกิจ และการออกหุ้นกู้ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยในปีนี้บริษัทฯ มีงานที่ปรึกษาทางการเงิน จำนวน 22 ราย แบ่งเป็นที่ปรึกษาการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 9 ราย และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน PO จำนวน 1 ราย และทั้งงานที่ปรึกษาทางการเงินด้านอื่นๆ อีก 12 ราย ขณะเดียวกัน บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้มองว่านักลงทุนย้ายฐานเม็ดเงินไปลงทุนในตลาดเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาจากประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทย โดยมองว่าหากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงยืดเยื้อนักลงทุนก็จะกลับเข้ามาช้า แม้ว่าพื้นฐานตลาดหุ้น ไทยยังมีความน่าสนใจ โดยกลุ่มที่มีความโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มโรงแรม อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และการเกษตร
ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมในการปรับเปลี่ยนบริษัทฯ ไปสู่การเป็นบริษัท โฮลดิ้ง ขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งหากผ่านมติจากผู้ถือหุ้นจะมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปีเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นบริษัทโฮลดิ้ง และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2558