ASTVผู้จัดการรายวัน - บล.ไทยพาณิชย์ รุกเปิดตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์ ที่หลากหลาย และช่วยกระจายความเสี่ยงจากวิกฤติการเมืองที่ไม่แน่นอน ตั้งเป้าบัญชีปีนี้ 300 บัญชี คาดวอลุ่มเทรดต่อเดือนที่ 1-2 ร้อยล้านบาท
นายวีรเวท วงษ์กิจบัญชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดต่างประเทศปีนี้ บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ตั้งเป้าลูกค้าที่จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศวอลุ่มเฉลี่ยที่ 100-200 ล้านบาท/เดือน อีกทั้งในส่วนของบัญชีลูกค้าที่ต้องการซื้อขายต่างประเทศนั้น ตั้ง เป้าเฉลี่ยปีนี่ที่ประมาณ 300 บัญชี จากปัจจุบันที่มี 60-70 บัญชี ซึ่งจะไม่มีบัญชีขั้นต่ำในการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ แต่โดยปกติของลูกค้าที่ต้องการซื้อขายหุ้น ต่างประเทศนั้นจะเปิดบัญชีที่ประมาณ 3-5 แสนบาท เพื่อให้มีความยืดหยุ่นของพอร์ตการลงทุน ซึ่งมีกล่มลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก 70% และกลุ่มลูกค้าสถาบัน 30%
อย่างไรก็ดี บริษัทฯได้โปรโมตทางเลือกการลงทุนกับกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ และมี
ความต้องการในการลงทุนต่างประเทศสูง นอกเหนือจาก ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีอยู่ในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งจะมาจากกลุ่มลูกค้าเดิมของ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB โดยเป้าหมายหลักภาย ใน 3 ปี บริษัทจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 1 ใน3ของการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ
ขณะคู่แข่งที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยตอนนี้ยังไม่สูงมากนักซึ่งมีเพียง 10-15 โบรกที่มีการซื้อ
ขายลักษณะดังกล่าวโดยบริษัทมีความได้เปรียบที่มีพันธมิตรกับบริษัทค้าหลักทรัพย์รายใหญ่สำคัญ ในตลาดหุ้นต่าง
ประเทศมากถึง 13 ตลาดหลักทรัพย์ อีกทั้งการพิจารณาอนุมัติเปิดบัญชีก็สามารถทำได้ในเวลาเพียง 3 วัน นอกเหนือจากนี้ ค่าคอมมิชชั่น ที่ลูกค้าต้องจ่ายเมื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเฉลี่ยอยู่ที่ 0.35-0.45% ขณะบริษัทหลัก ทรัพย์หลายแห่งมีค่าคอมมิชชั่นอยู่ในระดับสูงถึง 0.50%
อย่างไรก็ดีการเปิดให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศนั้น เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนให้แก่ลูกค้าที่ ต้องการความหลากหลายในการลงทุน และแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า อีกทั้งยังเป็นกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน เช่นปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน
ทั้งนี้ มองว่าปีนี้ตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มตลาดหุ้นเอเชีย ได้แก่ฮ่องกง ไต้
หวัน และจีน ที่เริ่มมีนักลงทุนจากยุโรปและอเมริกาเข้ามาลงทุน และกลุ่มทวีปยุโรป ที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนจะไม่มากนักเนื่องจากเพิ่งไดเริ่มทำธุรกิจนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาท ในขณะที่อัตราการเติบโตของธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะโตขึ้นอย่างน้อย 17-20%
นายวีรเวท วงษ์กิจบัญชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดต่างประเทศปีนี้ บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ตั้งเป้าลูกค้าที่จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศวอลุ่มเฉลี่ยที่ 100-200 ล้านบาท/เดือน อีกทั้งในส่วนของบัญชีลูกค้าที่ต้องการซื้อขายต่างประเทศนั้น ตั้ง เป้าเฉลี่ยปีนี่ที่ประมาณ 300 บัญชี จากปัจจุบันที่มี 60-70 บัญชี ซึ่งจะไม่มีบัญชีขั้นต่ำในการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ แต่โดยปกติของลูกค้าที่ต้องการซื้อขายหุ้น ต่างประเทศนั้นจะเปิดบัญชีที่ประมาณ 3-5 แสนบาท เพื่อให้มีความยืดหยุ่นของพอร์ตการลงทุน ซึ่งมีกล่มลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก 70% และกลุ่มลูกค้าสถาบัน 30%
อย่างไรก็ดี บริษัทฯได้โปรโมตทางเลือกการลงทุนกับกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ และมี
ความต้องการในการลงทุนต่างประเทศสูง นอกเหนือจาก ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีอยู่ในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งจะมาจากกลุ่มลูกค้าเดิมของ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB โดยเป้าหมายหลักภาย ใน 3 ปี บริษัทจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 1 ใน3ของการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ
ขณะคู่แข่งที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยตอนนี้ยังไม่สูงมากนักซึ่งมีเพียง 10-15 โบรกที่มีการซื้อ
ขายลักษณะดังกล่าวโดยบริษัทมีความได้เปรียบที่มีพันธมิตรกับบริษัทค้าหลักทรัพย์รายใหญ่สำคัญ ในตลาดหุ้นต่าง
ประเทศมากถึง 13 ตลาดหลักทรัพย์ อีกทั้งการพิจารณาอนุมัติเปิดบัญชีก็สามารถทำได้ในเวลาเพียง 3 วัน นอกเหนือจากนี้ ค่าคอมมิชชั่น ที่ลูกค้าต้องจ่ายเมื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเฉลี่ยอยู่ที่ 0.35-0.45% ขณะบริษัทหลัก ทรัพย์หลายแห่งมีค่าคอมมิชชั่นอยู่ในระดับสูงถึง 0.50%
อย่างไรก็ดีการเปิดให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศนั้น เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนให้แก่ลูกค้าที่ ต้องการความหลากหลายในการลงทุน และแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า อีกทั้งยังเป็นกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน เช่นปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน
ทั้งนี้ มองว่าปีนี้ตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มตลาดหุ้นเอเชีย ได้แก่ฮ่องกง ไต้
หวัน และจีน ที่เริ่มมีนักลงทุนจากยุโรปและอเมริกาเข้ามาลงทุน และกลุ่มทวีปยุโรป ที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนจะไม่มากนักเนื่องจากเพิ่งไดเริ่มทำธุรกิจนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาท ในขณะที่อัตราการเติบโตของธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะโตขึ้นอย่างน้อย 17-20%