หุ้นไทยปิดลบวกแค่ 1.68 จุด จากปัจจัยลบทั้งใน และนอกประเทศกดดัน โบรกฯ ประเมินสัปดาห์หน้าจะเข้าสู่ช่วงของการทรงตัว ถึงอ่อนตัวลงเล็กน้อย เหตุยังมีความกังวลจากสถานารณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครน การประชุมเฟดที่อาจมีการปรับลดวงเงินในมาตรการ QE3 ลงอีก หนำซ้ำปัจจัยทางการเมืองในประเทศยังมีหลายประเด็นจ่อกดดัน เตือนดัชนีเข้าใกล้เป้าหมายทั้งปี 1,450 จุด เหลืออัปไซด์ไม่มาก แนะทำกำไร หันมองการลงทุนต่างประเทศแทน
ตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายของสัปดาห์ (14 มี.ค.) ดัชนีปิดที่ 1,372.18 จุด เพิ่้มขึ้น 1.68 จุด หรือ 0.12% มูลค่าการซื้อขาย 31,315 ล้านบาท เคลื่อนไหวไม่มาก เหตุนักลงทุนกังวลสถานการณ์ในต่างประเทศกรณีความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครน กดดันตลาดหุ้นในภูมิภาค อีกทั้งปัญหา Shadow Bank ที่เกิดขึ้นกับจีนซึ่งเป็นสัญญาณถึงการชะลอตัวทางเศรนษฐกิจ รวมถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เทคนิค ฝ่ายกลยุทธ์ การลงทุน บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ว่า น่าจะเข้าสู่ช่วงของการทรงตัว ถึงอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากปัจจัยลบเริ่มเด่นชัดทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตในประเทศยูเครน ที่คาดว่าผลการลงมติประชาชนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะไปอยู่กับรัสเซีย จึงต้องจับตาท่าทีของสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีน น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ในระยะกลาง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่น และไตหวัน
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC คงมีมติปรับลดปริมาณเงินอัดฉีดลง 10,000 ล้านเหรียญอย่างแน่นอน ซึ่งคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกประกอบ
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ สัปดาห์หน้ามีเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเข้ามากระทบหลายเรื่อง ทั้งการพิจารณาเรื่องการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาให้เป็นโมฆะ / คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เตรียมชี้มูลคดี 308 ส.ส. และ ส.ว.แก้ รธน.ที่มา ส.ว.มิชอบ นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังเตรียมพิจารณามูลความผิดเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ของรัฐบาล รวมถึงการที่รัฐบาลจะพิจารณาว่าจะยกเลิกพระราชบัญญัติบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือปล่อยให้หมดอายุไปเอง ซึ่งหากพิจารณายกเลิกจะส่งผลทางจิตวิทยาให้หุ้นปรับตัวขึ้่นทันที แต่หากปล่อยให้หมดอายุก็ต้องไปลุ้นในวันที่ 23 มีนาคมอีกครั้ง พร้อมให้กรอบความเคลือนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,355-1,370
สอดคล้องกับนายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทิสโก้ เวลธ์ ที่ระบุว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครนที่เพิ่มมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่รัสเซียได้ทำการฝึกซ้อมกำลังทหารที่ชายแดนระหว่างรัสเซีย และยูเครน โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ และพลเมืองเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐฯ และยุโรปที่จะดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซีย โดยมองว่ามาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวไม่มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และชาติตะวันตกจะไม่ลุกลามเป็นสงคราม ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยกดดันตลาดระยะสั้นเท่านั้น
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง เช่น ดัชนีหุ้นยุโรป Euro STOXX50 ปรับลดลง 1.5%,ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P500 ปรับลดลง 1.2%, ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225ปรับลดลง 3%, ดัชนีหุ้นจีน HSCEI ปรับลดลง 4.2% ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงควรทยอยขายหุ้นไทยที่เริ่มมีอัปไซด์จำกัด และเข้าลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียเหนือ และญี่ปุ่น ซึ่งปรับตัวลงแรงแต่ตัวเลขเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งในระยะยาว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากการเมืองที่เริ่มผ่อนคลาย โดย SET มีแนวโน้มปรับเข้าใกล้ 1,400 จุด และมีอัปไซด์เหลือไม่ถึง 5%จากเป้าหมายปีนี้ที่ 1,450 จุด จึงแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นไทยไปลงทุนในต่างประเทศ โดยแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่น และหุ้นเอเชียเหนือ