xs
xsm
sm
md
lg

CGS จัดทีมบริหารใหม่ เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายฐานลูกค้า หวังครองแชร์ TOP 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“บล.คันทรี่ กรุ๊ป” เดินเครื่องธุรกิจเต็มเหนี่ยว เปิดตัวผู้บริหารใหม่ “สุดธิดา จิระพัฒน์สกุล” และ “ชนะชัย จุลจิราภรณ์” ขึ้นแท่น CEO ในขณะที่ “ชูพงศ์ ธนเศรษฐกร” กรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นมือทองของวงการวาณิชธนกิจ ยังคงเป็นแกนนำสายวาณิชธนกิจในการขยายธุรกิจด้านนี้เพื่อเสริมจุดแข็งให้บริษัทฯ “สุดธิดา จิระพัฒน์สกุล” เผยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีมพร้อมเสริมทีมงานชุดใหม่เพื่อความแข็งแกร่ง ทั้งด้านวาณิชธนกิจ ตราสารหนี้ และบริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะตราสารหนี้ มีเป้าหมายเพื่อบริหารความเสี่ยงให้ลดลงและเพิ่มรายได้ พร้อมมุ่งเน้นการทำกำไรในแต่ละสาขา และขยายฐานลูกค้าเพิ่ม ปีหน้าเตรียมเดินสายโรดโชว์ตามสาขา เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับทีมมาร์เกตติ้งในการแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ มั่นใจยังรักษามาร์เกตแชร์ได้ในอันดับ TOP 5 สัดส่วนที่ประมาณ 4.0%

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่าคณะกรรมการฯ ได้มีมติแต่งตั้ง น.ส.สุดธิดา จิระพัฒน์สกุล และนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แทนตำแหน่งที่ว่างลงของ ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน

“ทีมผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาเพื่อช่วยกันเพิ่มศักยภาพ และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป และรองรับการแข่งขันที่มีมากขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2558 ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น จากจุดเด่นทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญ และมากด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้มั่นใจว่าภายหลังการเปิดตัวผู้บริหารใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

สำหรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ CGS จะเน้นการบริหารงานเป็นทีม (Team Work) ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ไปจนถึงทีมงานฝ่ายต่างๆ โดยตนเองจะรับผิดชอบในส่วนของตราสารทุน 1, 2, 3, 4 และ 5 ธุรกิจสถาบัน การพัฒนาธุรกิจ และการตลาดองค์กร เป็นต้น ขณะที่นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ จะดูแลในส่วนตราสารทุน 6 และ 7 และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งได้มีการ
เสริมทีมงานใหม่ต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ (Bond) และบริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL) ส่วนนายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร ยังคงเป็นผู้บริหารหลักสายวาณิชธนกิจ โดยคาดว่าจะสามารถนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า และจะมีการเสริมทีมงานด้านการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) อีกด้วย

“บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างครบวงจร เช่น บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) และใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจด้านกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) รวมทั้งจะมีการศึกษาเรื่องตราสารหนี้ (Bond) เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการช่วยบริหารความเสี่ยงด้านธุรกิจให้ลดลงได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าทั้งที่เป็นนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน อันจะนำไปสู่การเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด รายได้ และผลกำไรที่มากขึ้น”

น.ส.สุดธิดา กล่าวต่อถึงแผนงานด้านการตลาดว่า จะมุ่งเน้นการทำกำไรของแต่ละสาขา โดยพิจารณาทบทวนเรื่องผลประกอบการ และขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยปัจจุบัน CGS มีสาขาทั้งสิ้น 50 สาขา ซึ่งปี 2557 ได้วางแผนโรดโชว์ตามสาขา เพื่อให้ข้อมูลกับทีมงานด้านการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ และแนวโน้มของตลาดหุ้นและการลงทุน เพื่อสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ยังได้เป็นพันธมิตรกับ บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี ซึ่งจะช่วยในด้านการขยายบริการต่างๆ ได้มากขึ้น รวมถึงการต่อยอดธุรกิจต่างๆ

“CGS จะเน้นการให้บริการลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีฐานลูกค้าถึง 40,000 ราย ด้วยบริการด้านหลักทรัพย์ที่ครบวงจร เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของนักลงทุน รวมทั้งขยายการลงทุน และเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมมุ่งเน้นงานวิจัย และการพัฒนาระบบไอที ให้มีความทันสมัยและรวดเร็ว ตลอดถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันองค์กรให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง” น.ส.สุดธิดากล่าว

สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส 3/2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 390.39 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 12.81 ล้านบาท โดยงวด 9 เดือนมีรายได้รวม 1,773.37 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 379.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.33 ล้านบาท หรือร้อยละ 142.96 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าตามบัญชี 1.32 บาทต่อหุ้น และมีกำไรสะสมทั้งสิ้น 692.46 ล้านบาท

กำลังโหลดความคิดเห็น