ธปท. เกาะติดค่าเงินบาทใกล้ชิด ยันอัตราปัจจุบันเหมาะสมสอดคล้องกับภูมิภาค ย้ำชัดเงินทุนไหลออกไม่น่าห่วง ไม่จำเป็นออกมาตรการเพิ่ม ระบุ ต่างชาติทิ้งบอนด์ของไทยเพียง 15% พร้อมส่งสัญญาณปล่อยค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาด ระบุภาพรวมการค้าต่างประเทศยังสามารถกำหนดทิศทางการส่งออกได้ แต่ยังจับตาอย่างใกล้ชิด
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศในขณะนี้ว่า ธปท. มีการจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งเห็นว่าขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยนของไทยไม่ได้อ่อนค่า หรือแข็งค่าผันผวนจนเกินไป โดยทาง ธปท. จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะค่าเงินยังเป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค และประเทศคู่แข่งภาคการค้ายังสามารถกำหนดทิศทางส่งออกได้
นอกจากนี้ ธปท. ยังจับตาการเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ หลังจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบที่ 3 (คิวอี) เพื่อไม่ให้กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนในประเทศ
นางผ่องเพ็ญ ยืนยันว่า สถานการณ์เงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทยในขณะนี้ไม่น่าห่วง ล่าสุดปริมาณเงินทุนต่างชาติที่ถือตราสารหนี้ไทยอยู่กว่า 8 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้ไหลออกประมาณ 15% ส่วนตลาดหุ้นนักลงทุนต่างชาติขายออกไปบ้างเป็นเรื่องปกติ เพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยขยายตัวไปมากแล้ว ส่วนเงินลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้ยังมีการไหลออกแต่อย่างใด
ขณะนี้ เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน ตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนในประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมยาก เพราะธปท.ดูแลได้เฉพาะเงินทุนในประเทศเท่านั้น ส่วนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนตามสกุลเงินในภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอ่อนค่าลงประมาณ 4%
"เท่าที่เราติดตามดูตอนนี้ภาวะเงินทุนต่างชาติไหลออกยังไม่น่าห่วง ไม่ได้รุนแรงจนต้องมีมาตรการอะไรมาดูแลเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกัน การผ่อนคลายในแผนเงินลงทุนเคลื่อนย้ายที่ ธปท. เปิดให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนหาผลตอบที่ดีในต่างประเทศที่เคยเปิดไว้ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่จำเป็นต้องปิดการผ่อนคลายยังทำได้เหมือนเดิม แต่ต้องจับตาดูเรื่อยๆอย่างใกล้ชิดต่อไปเพราะยังไม่แน่ว่า เฟดจะเลิกทำมาตรการคิวอีได้ในช่วงเวลาที่ตลาดคาดการณ์หรือไม่"
อย่างไรก็ตาม ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับความผันผวนของเงินทุนเข้าออกได้ อีกอย่างการที่เงินทุนจะไหลเข้าและออกก็จะดูตามพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยด้วย ซึ่งปัจจุบันพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในระดับที่ดีนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่น
รองผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงแผนลดการขาดทุนสะสม 5.3 แสนล้านบาท และปัญหาทุนติดลบของธปท. ตามนโยบายที่เคยให้ไว้สมัยที่ นายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานบอร์ด ธปท. ที่สั่งการให้มีการศึกษาก่อนหน้านี้ว่า หลังมีการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาการขาดทุนสะสม บอร์ด ธปท. ก็ให้หาแนวทางการหาผลตอบแทนเพิ่มภายใต้กรอบความเสี่ยง แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1.เพิ่มการบริหารสินทรัพย์ของ ธปท. เช่น ให้ลงทุนในพันธบัตรของประเทศกำลังพัฒนา (อิมเมอร์จิ้น คันทรี่) ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น ลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนได้ ซึ่งบางเรื่องก็ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ 2.พิจารณาหาแนวทางการลงทุนเพิ่มตามพรบ.ธปท.ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขกฎหมายให้ทำได้ เช่น ลงทุนในหุ้น ซึ่งเหล่านี้ยังเป็นแนวคิดแต่ยังไม่มีกำหนด โดยจะพิจารณาทำตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และ 3.แยกสินทรัพย์ต่างประเทศส่วนที่สูงกว่าระดับที่จำเป็นต้องมี และจะศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนในลักษณะ Opportunity Fund ซึ่งอาจจะแยกเงินออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อจ้างเอกชนหรือแมนเนเจอร์ฟันด์มาบริหาร เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนหาผลตอบแทนเพิ่ม