ผู้ว่าการ ธปท.มั่นใจไทยพร้อมรับมือภาวะ “เม็ดเงินป่วน” ไหลออก หากเฟดถอน QE เผยสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 2-3 เดือน ยังมีความสมดุล ไม่ผิดสังเกต แม้จะมีกระแสข่าวการลด QE โดยมีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่อยู่ในปริมาณที่น้อย หากเทียบกับหลายประเทศ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า ผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE ที่มีต่อประเทศไทยคงมีไม่มาก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยสมดุล และมีความแข็งแกร่ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังมีจำนวนมาก สามารถรักษาความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจได้ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อย ส่วนเอกชน และธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังในการไปลงทุนในต่างประเทศ และปิดสถานะความเสี่ยงไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ ยังต้องติดตามนโยบายของเฟดว่าจะลด QE เมื่อไหร่ เพราะยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าจะลด QE ภายในปีนี้ หรือต้นปี 2557 และสินทรัพย์ที่เฟดจะลดการเข้าซื้อตามโครงการ QE คือ สินทรัพย์ประเภทใด หากลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีผลต่อตลาดมาก เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีนักลงทุนถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กันอย่างแพร่หลาย แต่หากเป็นสินทรัพย์เสี่ยงประเภทหลักทรัพย์ที่แปลงมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Morgage-Backed Securities, MBS) ผลกระทบจะมีมากกว่า เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง
“เชื่อว่าเฟดจะมีการสื่อสารกับตลาดการเงินโลกให้มีความชัดเจน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และตื่นตระหนก โดยเชื่อว่าผลกระทบจากการที่เฟดจะถอน QE ในครั้งนี้ จะน้อยกว่าที่ผ่านมา เหตุเพราะตลาดรับรู้ และคุ้นเคยเรื่องดังกล่าวแล้ว รวมทั้งมีความเข้าใจว่าเฟดยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแม้จะลด QE” นายประสารกล่าว
นายประสาร กล่าวว่า ธปท.มีมาตรการรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดยติดตามสถานการณ์ตลาดเงิน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างใกล้ชิด ประสานข้อมูลกับธนาคารกลางอื่นๆ เตรียมมาตรการดูแลกรณีจำเป็น โดยจะปล่อยให้กลไกตลาดทำงานก่อน และจะออกมาตรการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายกรณีที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 2-3 เดือน ยังมีความสมดุล ไม่ผิดสังเกต แม้จะจะมีกระแสข่าวการลด QE โดยมีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่อยู่ในปริมาณที่น้อยหากเทียบกับหลายประเทศ โดยประเทศไทยเงินไหลเข้า-ออก ถือว่ายังสมดุล
