เลขาธิการ ก.ล.ต. มองตลาดหุ้นร่วงแรงจากเศรษฐกิจโลกผันผวน แนะบริษัทจดทะเบียนต้องมีคุณภาพ ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน “ทิสโก้” คาดหุ้นทรุดแค่ในระยะสั้น นักลงทุนตื่นจีดีพีต่ำกว่าคาด เชื่อพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดไม่โดนถล่มเหมือนอินโดฯ พร้อมแนะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับเข้าไปสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นขณะนี้ที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไปมา ทั้งนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ บริษัทจดทะเบียนต้องมีการจัดการบริหารที่มีคุณภาพ มีผลประกอบการที่ดี ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คือ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 3 (คิวอี 3) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และสำหรับนักลงทุนควรจะศึกษาข้อมูล และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์
ขณะที่ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน TISCO Wealth มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน่าจะเกิดเพียงระยะสั้น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับเข้าไปสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง พร้อมระบุว่า ปัจจุบันนักลงทุนกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ TIPs (Thailand, Indonesia, Philippines) โดยกังวลต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากที่การเติบโต GDP ในไตรมาสที่ 2/2013 ออกมาต่ำกว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์
ส่วนอินโดนีเซีย นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ขณะที่ฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นในภูมิภาคนี้ (ยกเว้นฟิลิปปินส์ ที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่สามารถเปิดทำการได้เนื่องจากน้ำท่วม)
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ TISCO Wealth เชื่อว่า เศรษฐกิจของไทยไม่ได้น่ากังวลอย่างที่หลายฝ่ายกังวล แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วง GDP ไทย 2Q13 ขยายตัว 2.8% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.3% แต่เป็นการถดถอยทางเทคนิคครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ GDP ครึ่งปีแรกขยายตัว 4.1%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหลายคนอาจสงสัยว่า แล้วในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหา และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งในมุมมองของเราคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยในปี 2013 คาดว่า GDP จะขยายตัว 4% เป็นผลจากการส่งออกอาจฟื้นตัวได้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชนที่อาจขยายตัวได้จากโครงการลงทุนต่างๆ ของรัฐบาล ขณะที่การขยายตัวของ GDP ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 4.1% YoY ไม่ได้ถือว่าเป็นระดับที่แย่ และมองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q13 และคาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศหลัก (G3)
ขณะที่เศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ที่มีปัญหานั้นจะแตกต่างกับของไทย คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงไตรมาส 2 เลวร้ายกว่าคาดไว้ที่ 9,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าจำนวนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติการณ์เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ค่าเงินรูเปียะห์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี อีกทั้งตลาดหุ้นปรับลงมากที่สุดในรอบ 22 เดือน นอกจากนี้ ในด้านของตลาดพันธบัตรรัฐบาลก็ซบเซาไปด้วย เพราะนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของอินโดนีเซียมากขึ้น เพราะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของไทย และอินโดนีเซียนั้นมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งของไทยคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่อินโดนีเซีย เป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข ดังนั้น TISCO Wealth มองว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงนั้นน่าจะเกิดเพียงในระยะสั้น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไทยยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น ในช่วงนี้ถือเป็นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับเข้าไปสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง