“บล.โนมูระ” เตือนสถานการณ์ตลาดหุ้นโลกขณะนี้คล้ายคลึงกับวิกฤตการณ์เมื่อปี 1997-1998 เป็นอย่างมาก ยอมรับ “อินเดีย-อินโดฯ” ได้รับความเสียหายไปแล้ว คาดลำดับต่อไป คือ ประเทศที่มียอดขาดดุลงบสูง ศก.ชะลอตัว และต่างชาติครองสัดส่วนในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลของประเทศนั้นสูง ระบุ “ไทย-มาเลย์” มีคุณสมบัติเหล่านี้มากที่สุด “ธ.ยูบีเอส” ยอมรับหนี้สินในภาคครัวเรือน และภาครัฐบาลของมาเลเซียพุ่งขึ้นสู่ระดับสูง ขณะที่การปฏิรูปการคลังในมาเลเซียหยุดชะงักลง แถมต่างชาติถือครองพันธบัตรเกินครึ่ง
นายประทีป โมฮินานี นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้ โดยมองว่ามีความคล้ายคลึงกับวิกฤตการณ์ในปี 1997-1998 เป็นอย่างมาก โดยขณะนี้มี 2 ประเทศที่ได้รับความเสียหายแล้ว คือ อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศที่มีแนวโน้มที่จะได้รับความความเสียหายเป็นลำดับต่อไป คือ ประเทศที่มียอดขาดดุลงบประมาณสูง มีเศรษฐกิจชะลอตัว และต่างชาติครองสัดส่วนในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลของประเทศนั้นสูง ซึ่งไทยกับมาเลเซียมีคุณสมบัติเหล่านี้มากที่สุด
นักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ หรือกลุ่มทิป ซึ่งมองว่าทั้ง 3 ประเทศนี้มีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งกว่าอินโดนีเซีย และอินเดียเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็ว และยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะปั่นป่วนในช่วงก่อนหน้านี้มากนัก อีกทั้งประเทศในภูมิภาคนี้ได้เพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศให้สูงขึ้น และได้ลดหนี้สกุลเงินต่างประเทศลงมาก นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินเอเชียในปี 1997 เป็นต้นมา
ด้านนายเอ็ดเวิร์ด เทเธอร์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูบีเอส เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลของมาเลเซียจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายของมาเลเซียให้คุมเข้มนโยบายการเงิน และให้ปฏิรูปการคลัง แต่มาเลเซียเผชิญความเสี่ยงน้อยกว่าอินโดนีเซียเป็นอย่างมาก เนื่องจากมาเลเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยยอดเกินดุลการค้าของมาเลเซียเคยดิ่งลงในเดือน เม.ย. จนแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินปี 1997
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองว่า มาเลเซียเผชิญความเสี่ยงจากการที่ชาวต่างชาติถือครองตราสารหนี้เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนี้สินทั้งในภาคครัวเรือน และภาครัฐบาลของมาเลเซียพุ่งขึ้นสู่ระดับสูง ขณะที่การปฏิรูปการคลังในมาเลเซียหยุดชะงักลง
หลังจากผลการเลือกตั้งที่สูสีกันในเดือน พ.ค. ส่งผลให้สถานะของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอ่อนแอลง สกุลเงินริงกิตของมาเลเซียดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 3 ปีที่ 3.3 ริงกิตต่อดอลลาร์ เมื่อวานนี้ และรูดลงมาแล้วกว่า 7% จากช่วงต้นปีนี้
กรณีดังกล่าว เทรดเดอร์ประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซียได้ใช้เงินไปแล้วประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์ในการปกป้องค่าเงินริงกิตในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แรงเทขายได้ลุกลามออกไปสู่ตลาดหุ้นกัวลาลัมเปอร์เมื่อวานนี้ด้วย ส่งผลให้ดัชนีคอมโพสิตของตลาดหุ้นกัวลาลัมเปอร์ดิ่งลง 1.85% ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วตลาดหุ้นแห่งนี้ถือเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยในภูมิภาคนี้
ส่วนนายกุนดี คาห์ยาดี นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโอซีบีซี ยอมรับว่า ไทยมีดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดตกต่ำลง และคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะเผชิญกับปัญหาแบบเดียวกัน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้