“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยผลงานไตรมาส 2 ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง รายได้ทั้งสิ้น 587.02 ล้านบาท หรือโตจากปีก่อน 82% และมีกำไรสุทธิ 109.27 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 135% ขณะบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 0.12 บาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ว่า บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากที่ขยายตัวได้ดีในไตรมาสแรก ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดรับรู้รายได้เข้ามาแล้วกว่า 1,211 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 88% ซึ่งแม้บริษัทมียอดรับรู้ที่เติบโตขึ้นมาก แต่ความสามารถในการทำกำไรมิได้ลดลง บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเห็นว่าในครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้นประมาณ 227 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นจากปีก่อนประมาณ 160%
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท ซึ่งหากรวมกับเงินปันผลที่บริษัทจ่ายไปก่อนหน้าสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งหลังปี 2555 ที่อัตราหุ้นละ 0.12 บาทเช่นกัน จะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 5.5% โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 สิงหาคม 2556)
ในส่วนของแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังขยายตัวได้ดี จากที่บริษัทสามารถทำยอดขายได้ในระดับสูงในครึ่งปีแรก โดย ณ ปัจจุบัน มียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (Backlog) อยู่ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3-4 โครงการ โครงการในต่างจังหวัดทั้งภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3-4 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อีก 1-2 โครงการ ซึ่งจะช่วยรองรับการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพของบริษัท
นายไชยยันต์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการออกเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 4.75% ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท ตลอดจนช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนทางด้านการเงินได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ตลอดอายุหุ้นกู้ ทำให้บริษัททราบต้นทุนที่แน่นอน และป้องกันความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต โดยการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งธนาคารพันธมิตร 4 แห่ง เป็นผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ต่อผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (II&HNW) ซึ่งมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่บริษัทได้กำหนดวงเงินในการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไว้ทั้งสิ้น 600 ล้านบาท แต่เนื่องจากมีนักลงทุนที่ให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้ามา จึงมีการปรับเพิ่มจำนวนในการออกอีก 30 ล้านบาท รวมเป็น 630 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการนักลงทุนดังกล่าว
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ว่า บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากที่ขยายตัวได้ดีในไตรมาสแรก ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดรับรู้รายได้เข้ามาแล้วกว่า 1,211 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 88% ซึ่งแม้บริษัทมียอดรับรู้ที่เติบโตขึ้นมาก แต่ความสามารถในการทำกำไรมิได้ลดลง บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเห็นว่าในครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้นประมาณ 227 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นจากปีก่อนประมาณ 160%
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท ซึ่งหากรวมกับเงินปันผลที่บริษัทจ่ายไปก่อนหน้าสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งหลังปี 2555 ที่อัตราหุ้นละ 0.12 บาทเช่นกัน จะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 5.5% โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 สิงหาคม 2556)
ในส่วนของแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังขยายตัวได้ดี จากที่บริษัทสามารถทำยอดขายได้ในระดับสูงในครึ่งปีแรก โดย ณ ปัจจุบัน มียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (Backlog) อยู่ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3-4 โครงการ โครงการในต่างจังหวัดทั้งภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3-4 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อีก 1-2 โครงการ ซึ่งจะช่วยรองรับการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพของบริษัท
นายไชยยันต์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการออกเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 4.75% ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท ตลอดจนช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนทางด้านการเงินได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ตลอดอายุหุ้นกู้ ทำให้บริษัททราบต้นทุนที่แน่นอน และป้องกันความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต โดยการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งธนาคารพันธมิตร 4 แห่ง เป็นผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ต่อผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (II&HNW) ซึ่งมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่บริษัทได้กำหนดวงเงินในการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไว้ทั้งสิ้น 600 ล้านบาท แต่เนื่องจากมีนักลงทุนที่ให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้ามา จึงมีการปรับเพิ่มจำนวนในการออกอีก 30 ล้านบาท รวมเป็น 630 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการนักลงทุนดังกล่าว