xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.ออกกองบอนด์ ลงทุนในและต่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศเป็นทางเลือกลงทุน ชูผลตอบแทนสูงความเสี่ยงต่ำ หลังเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M70(KFFIX6M70) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Banco Itau Unibanco S.A. (บราซิล) สัดส่วนการลงทุน 15% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 15% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 15% ตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 15% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.80% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป

   สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 0.01-0.10 โดยที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีลักษณะชันน้อยลงจากแรงกลับเข้ามาซื้อของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศหลังปัญหาการเมืองคลี่คลายลง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ และภาคการส่งออก โดยรัฐบาลคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้อีกร้อยละ 1

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ซีวาย (KFI3MCY) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 2.85% ต่อปี พร้อมด้วยกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน บียู (KFI6MBU) ประมาณการอัตราผลตอบแทน 3.00% ต่อปีในวันที่ 14-19 สิงหาคม 2556 เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุใกล้เคียงกัน โดยทั้ง 2 กองทุนข้างต้นจะเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้กระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากตราสารหนี้ในประเทศตุรกี ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยคัดเลือกมาช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยทรงตัวทั่วโลก

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมองว่า เศรษฐกิจตุรกีในภาพรวมยังคงมีเสถียรภาพ โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ประเทศตุรกียังคงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบด้วย ตราสารหนี้ของ Garanti Bank ซึ่งเป็นธนาคารเอกชนขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศตุรกี และตราสารหนี้ของ Akbank ซึ่งเป็นธนาคารที่มีอันดับผลกำไรมากที่สุดในตุรกีอันดับ 1 และ 2 ตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนจึงเชื่อมั่นในคุณภาพของตราสาร” นายนาวินกล่าว

สำหรับกองทุน KFI3MCY อายุโครงการประมาณ 3 เดือน ตราสารที่คาดว่าจะลงทุนในเบื้องต้น ประกอบด้วยตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี (BBB-/Fitch) และเงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี (BBB/Fitch) ร่วมด้วยเงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า (A/Fitch) ตราสารหนี้ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A+(tha)/Fitch) และตราสารหนี้ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (AA-(tha)/Fitch) ด้านกองทุน KFI6MBU มีอายุโครงการประมาณ 6 เดือน จะมุ่งลงทุนในตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี และเงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ Garanti Bank, ประเทศตุรกี (BBB-/Fitch) ร่วมด้วยเงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า (A/Fitch) ตราสารหนี้ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A-/TRIS) และ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับจาก Fitch ที่ BBB- โดยทั้ง 2 กองทุนข้างต้นมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ซีที (KPPTF3MCT) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.40% ต่อปี

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากกว่าที่ตลาดคาด เห็นได้จากภาคการบริโภคที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวลดลงกว่า 10% และการปรับลดลงของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน โดยการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุน และการอนุมัติพื้นที่ก่อสร้างใหม่ๆ ที่เริ่มเติบโตน้อยลง ภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่ปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์สูงน่าจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และทำให้ยอดขายรถยนต์ รวมถึงอสังหาฯ ไม่โตมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยโดยรวมน่าจะยังเติบโตได้ปานกลาง ไม่สูงมากเหมือนปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ต่ำเพียงประมาณ 2% ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อของไทย โดย บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงได้อีกเล็กน้อยในปีข้างหน้า ซึ่งภาวะตลาดลักษณะนี้เหมาะต่อการลงทุนในตราสารหนี้อายุประมาณ 2-3 ปีน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่อายุน้อยกว่า 1 ปี เนื่องจากได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าในกรณีที่ดอกเบี้ยทรงตัว และอาจมีกำไรจากการลงทุนหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง

นายอุดมการ อุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า การลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางในระยะเวลาการลงทุนประมาณ 1 ปีขึ้นไปเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวซึ่งดีกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในระยะเวลาที่ผ่านมา จึงแนะนำลงทุนในกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี- พรินซิเพิล คอร์ ฟิกซ์ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iFIXED) ซึ่งเป็นกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะกลางอายุเฉลี่ย 2 ปี จุดเด่นของกองทุน CIMB-PRINCIPAL iFIXED คือมีการกระจายการลงทุน (Diversification) มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ประเภท Term Fund ซึ่งมักจะลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 4-5 บริษัท และผู้ลงทุนยังมีสภาพคล่องสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน ซึ่งกอง Bond Fund ลักษณะนี้ในต่างประเทศเป็นที่นิยมแนะนำให้ลูกค้าถือเป็นสินทรัพย์หลักในพอร์ตการลงทุน (Core Investment) โดยประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดกองทุนในประเทศอเมริกาก็เป็นกองทุนประเภทนี้

ปัจจุบันกองทุน CIMB-PRINCIPAL iFIXED เปิดให้ลงทุนในลักษณะแบบ Multi Share Class 2 ชนิด คือ 1. Class A-Accumulation เหมาะต่อนักลงทุนรายย่อยหรือบริษัทที่ต้องการสะสมมูลค่าจากดอกเบี้ยและ Capital Gain 2. Class R -Auto Redemption เหมาะต่อนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการแบ่งรายได้แบบสม่ำเสมอผ่านการ Auto Redemption โดยมูลค่ากองทุนรวมทุก share class อยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น