แบงก์กรุงศรีฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% ช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก ขณะที่ซีไอเอ็มบี ไทย มีกำไรไตรมาสแรก 313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% พร้อมกันสำรองเพิ่มรับความไม่แน่นอน
กรุงศรีกรุ๊ป (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากไตรมาส 4/2555 หรือเพิ่มขึ้น 18.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวมเติบโต 0.9% หรือ 7.23 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อเพื่อรายย่อย (สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสินเชื่อเพื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาส 4/2555 และ 20.4% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ในขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจหดตัวเล็กน้อยจากการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียน
ด้านเงินรับฝากเพิ่มขึ้นถึง 2.2% คิดเป็นมูลค่า 15.29 พันล้านบาท จากเดือนธันวาคม 2555 สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ และจ่ายเงินคืนเมื่อทวงถามต่อสัดส่วนเงินรับฝากทั้งหมด (CASA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.9% ในเดือนมีนาคม 2556 เทียบกับ 53.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 และกรุงศรีกรุ๊ป สามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิไว้ในระดับสูงที่ 4.28%
นางเจนิส แวน เอ็กเคอเรน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงศรีกรุ๊ป กล่าวว่า เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อโดยรวมในปีนี้จะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าความต้องการสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจจะสามารถปรับเพิ่มขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กรุงศรียังคงเป้าการขยายตัวของสินเชื่อไว้ที่ระดับสูงกว่า 12% สำหรับปี 2556
ซีไอเอ็มบีไทย กำไรโต 11.4%
นายณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์และการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 มีกำไรสุทธิจำนวน 313.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2555 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นในรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ร้อยละ 43.3 และ 20.1 ตามลำดับ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 และค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 และ 2555 รายได้จากการดำเนินงานงวด 3 เดือนปี 2556 จำนวน 1,973.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 จำนวน 327.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.9 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 78.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.3 ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมจากการบริการที่ปรึกษาและค่าธรรมเนียมการจัดการ สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธินั้นเพิ่มขึ้น 244.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.1 เป็นผลสะท้อนจากการขยายสินเชื่อ
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin - NIM) อยู่ที่ร้อยละ 3.17 สำหรับงวด 3 เดือนปี 2556 ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 0.06 ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขันด้านเงินฝากอย่างรุนแรงในตลาด
วันที่ 31 มีนาคม 2556 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 143.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อย เงินฝากและตั๋วแลกเงิน จำนวน 143.6 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.8 จากสิ้นปี 2555 ซึ่งมีจำนวน 146.2 พันล้านบาท จากการขยายตัวของสินเชื่อและเงินฝากข้างต้น ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 99.7 จากร้อยละ 95.0 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555
นายณรงค์ชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 4.0 พันล้านบาทอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งลดลงเนื่องจากธนาคารมีการประเมินความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุมยิ่งขึ้น มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
กรุงศรีกรุ๊ป (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากไตรมาส 4/2555 หรือเพิ่มขึ้น 18.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวมเติบโต 0.9% หรือ 7.23 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อเพื่อรายย่อย (สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสินเชื่อเพื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาส 4/2555 และ 20.4% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ในขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจหดตัวเล็กน้อยจากการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียน
ด้านเงินรับฝากเพิ่มขึ้นถึง 2.2% คิดเป็นมูลค่า 15.29 พันล้านบาท จากเดือนธันวาคม 2555 สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ และจ่ายเงินคืนเมื่อทวงถามต่อสัดส่วนเงินรับฝากทั้งหมด (CASA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.9% ในเดือนมีนาคม 2556 เทียบกับ 53.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 และกรุงศรีกรุ๊ป สามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิไว้ในระดับสูงที่ 4.28%
นางเจนิส แวน เอ็กเคอเรน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงศรีกรุ๊ป กล่าวว่า เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อโดยรวมในปีนี้จะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าความต้องการสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจจะสามารถปรับเพิ่มขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กรุงศรียังคงเป้าการขยายตัวของสินเชื่อไว้ที่ระดับสูงกว่า 12% สำหรับปี 2556
ซีไอเอ็มบีไทย กำไรโต 11.4%
นายณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์และการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 มีกำไรสุทธิจำนวน 313.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2555 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นในรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ร้อยละ 43.3 และ 20.1 ตามลำดับ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 และค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.2 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 และ 2555 รายได้จากการดำเนินงานงวด 3 เดือนปี 2556 จำนวน 1,973.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 จำนวน 327.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.9 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 78.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.3 ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมจากการบริการที่ปรึกษาและค่าธรรมเนียมการจัดการ สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธินั้นเพิ่มขึ้น 244.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.1 เป็นผลสะท้อนจากการขยายสินเชื่อ
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin - NIM) อยู่ที่ร้อยละ 3.17 สำหรับงวด 3 เดือนปี 2556 ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 0.06 ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขันด้านเงินฝากอย่างรุนแรงในตลาด
วันที่ 31 มีนาคม 2556 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 143.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อย เงินฝากและตั๋วแลกเงิน จำนวน 143.6 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.8 จากสิ้นปี 2555 ซึ่งมีจำนวน 146.2 พันล้านบาท จากการขยายตัวของสินเชื่อและเงินฝากข้างต้น ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 99.7 จากร้อยละ 95.0 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555
นายณรงค์ชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 4.0 พันล้านบาทอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งลดลงเนื่องจากธนาคารมีการประเมินความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุมยิ่งขึ้น มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
