xs
xsm
sm
md
lg

ลลิลฯ ชูระบบพรีสกรีน บริหารลูกค้าซื้อโครงการ ชี้ยอดปฏิเสธสินเชื่อต่ำ 5-10%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชูรัชฏ์ ชาครกุล
ลลิลฯ โชว์ยอดขายครึ่งปีแรกไหลลื่น ทำได้เกือบ 2,000 ล้าน มั่นใจทั้งปีได้ตามเป้า 2,600 ล้านบาท เดินหน้าเปิดโครงการเพิ่ม 8-10 โครงการในครึ่งปีหลัง เผยรายได้ปีนี้มาจากคอนโดฯ แบรนด์ “ลีโว-ลิปป์” ชูระบบพรีสกรีนลูกค้าก่อนยื่นกู้ ช่วยลดผลกระทบยอดขาย ชี้ตัวเลขถูกปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทน้อยมาก 5-10% พร้อมขยับราคาขายโครงการในบางทำเลเพิ่มอีก 3-5% หลังต้นทุนขยับสูงขึ้น

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวถึงความสามารถของบริษัทในการสร้างยอดขายในครึ่งแรกของปี 2556 ว่า สามารถทำได้เกือบ 2,000 ล้านบาท จากเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 2,600 ล้านบาท ขณะที่คาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ราว 2,250 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 55 ที่มีรายได้ 1,730 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้จะมาจากการทยอยโอนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม (ลีโว) LEVO 1 ย่านลาดพร้าว 18 ที่เริ่มทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาส 2/56 และคอนโด LEVO 2 ใกล้กับ LEVO 1 ที่จะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/56 และโครงการลิปป์ รามคำแหง 43/1 ทยอยโอนปลายปีนี้ รวมถึงโครงการแนวราบก็จะมีการทยอยโอนเข้ามาในครึ่งปีหลังเช่นกัน

“ยอดขายในครึ่งปีแรกของเราก็ทำได้ดี แต่ก็ยังไม่ได้มีการประเมินปรับประมาณการยอดขายใหม่ให้เพิ่มขึ้น ยอดขายเราก็ยังเป็นไปตามเป้าเดิม” นายชูรัชฏ์ กล่าว

สำหรับยอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (Backlog) ณ ปัจจุบันมีราว 1,300-1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ได้ราว 1,000 ล้านบาท ส่วนโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง เป็นโครงการแนวราบ 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3-4 โครงการ โครงการในต่างจังหวัดทั้งภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3-4 โครงการ และคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อีก 1-2 โครงการ

“ครึ่งปีแรกมีการเปิดแต่คอนโดมิเนียม โดยยังไม่ได้เปิดโครงการแนวราบใหม่ เพราะติดปัญหาเรื่องฝนในปีนี้ที่มาเร็วตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ซึ่งเราก็จะเริ่มทยอยเปิดในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเปิดได้ทันตามแผน มูลค่าแนวราบอย่างเดียว 6-8 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ประมาณ 3,000 ล้านบาท” นายชูรัชฏ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเป็น 20-30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15-20% ของรายได้ทั้งหมด เนื่องจากคอนโดมิเนียมใช้ระยะเวลาก่อสร้างเร็วกว่าโครงการแนวราบ และบริษัทเน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และสามารถรับรู้รายได้ได้เร็ว

“ตลาดต่างจังหวัดคิดว่าลูกค้ายังต้องการโครงการประเภทแนวราบ ซึ่งในความเห็นการขยายคอนโดฯ ไปตลาดต่างจังหวัดยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากที่ดินยังมีอยู่มาก และราคาที่ดินยังไม่สูง”

ทั้งนี้ โครงการคอนโดฯ ที่บริษัทเปิดตัวมา 2 แบรนด์ ระดับราคาที่นำเสนอประมาณ 1 ล้านต้นๆ ไปจนถึง 2 ล้านบาท ล้วนแล้วแต่ตอบสนองกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ขณะเดียวกัน ในแต่ละปีจะมีนักศึกษาจบใหม่ และเริ่มทำงานก็จะมองหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับรายได้ และชีวิตส่วนตัว (ไลฟ์สไตล์) นอกจากนี้ ทางบริษัทลลิลฯ ยังได้เพิ่มความคล่องตัวให้แก่ผู้ยื่นกู้ซื้อโครงการผ่านระบบพรีสกรีน ซึ่งช่วยให้ผู้ยื่นกู้ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร ขณะที่ทางบริษัทฯ จะลดความเสี่ยงเรื่องตัวเลขถูกปฏิเสธสินเชื่อ และต้องถือว่าบริษัทมีสัดส่วน 5-10% น้อยมาก

“ภาพรวมการเยี่ยมชมโครงการของลลิลฯ ดีขึ้น แต่ก็อาจจะมีบ้างที่บ้านราคาสูงเช่น 3-4 ล้านบาท ลูกค้าอาจจะใช้เวลาคิดนาน อย่าลืมว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่ทั้งชีวิต”

นายชูรัชฏ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินที่ราว 800-1,000 ล้านบาท เน้นที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 600-700 ล้านบาท และในปีนี้บริษัทได้มีการปรับราคาขายโครงการเพิ่มขึ้นอีก 3-5% ตามต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% แต่บริษัทเลือกปรับราคาในบางทำเลเท่านั้น

ล่าสุด ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมลิปป์ (LIB ) จำนวน 2 โครงการใหม่บนทำเลรามคำแหง 43/1 และลาดพร้าว 20 มูลค่าโครงการรวม 650 ล้านบาท คาดว่าโครงการคอนโด LIB รามคำแหง 43/1 จะแล้วเสร็จและเริ่มทยอยโอนภายในปลายไตรมาส 4/56 โดยขณะนี้เหลือยอดประมาณ 30% จาก 229 ยูนิต ส่วนโครงการคอนโด LIB ลาดพร้าว 20 คาดว่าแล้วเสร็จและเริ่มทยอยโอนภายในไตรมาส 1/57 เหลือยอดขาย 20% จากทั้งหมด 175 ยูนิต
กำลังโหลดความคิดเห็น