เมย์แบงก์ กิมเอ็งคาด GDP ปีนี้โตเต็มที่ 4.5% เหตุนโยบายรัฐไม่ชัดเจน และล่าช้ากระทบเศรษฐกิจทั้งระบบ คาดตลาดหุ้นไทยแผ่วทั้งปีไปต่อได้ไม่เกิน 1,550 จุด จากพิษ QE ที่ยังหลอนไม่เลิก ย้ำโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รัฐต้องรีบทำ เพราะจะดึงเม็ดเงินนักลงทุนกลับมาลงทุนในประเทศได้เร็วขึ้น
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย หรือ MBKET กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีนี้คาดว่าจะเติบโตอยู่ในอัตราการขยายตัวที่ 4.5%-5% ซึ่งลดลงจากปีก่อนอันเนื่องมาจากปัญหานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และเศรษฐกิจคู่ค้าที่ยังอ่อนแอ แต่เชื่อว่าการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ของสหรัฐฯ อาจจะเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 12-18 เดือน จากที่คาดว่าจะเริ่มต้นลดมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในสิ้นปีนี้ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งยังคงมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติ ที่จะไหลออกต่อเนื่อง ไม่เพียงเฉพาะต่อประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น แต่จะมีเงินทุนไหลออกจากแหล่งทุนของทุกประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ดี ทุกประเทศทั่วโลกยังคงให้น้ำหนักกับบทบาทของผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด เป็นหลัก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังคงสร้างความผันผวนในตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นทั่วโลก
โดยขณะนี้มองว่า ทั้ง 2 ตลาดกำลังหาจุดสมดุลที่คุ้มค่าในการลงทุนอยู่ จึงทำให้ในไตรมาสที่ 3 ยังยากที่จะประเมินทิศทางของทั้ง 2 ตลาดได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัย 3 อย่างที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน แนวโน้มผลตอบแทนของพันธบัตร และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถ้าหากค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าอยู่ คงยังไม่มีเงินทุนไหลกลับเข้ามาในประเทศในขณะนี้ แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนของภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี จึงคงระดับดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลังไว้ที่ 1,250-1,550 จุด และดัชนีหุ้นทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 1,550 จุด
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตได้ดีในตอนนี้ ยังไม่ต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเพิ่มเติม แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลควรที่จะต้องเกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อกระตุ้นการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายฐานการเงินกลับไป ให้กลับเข้ามาลงทุนโดยเร็ว เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาวต่อเนื่อง 7 ปี โดยเฉลี่ยปีละ 3 แสนล้านบาท ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้มาก และจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทย หรือ GDP เติบโตขึ้นได้เกินกว่า 4-5%
ส่วนการทบทวนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน โดยปัจจุบันยังอยู่ในระดับ 25% และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 20% แต่จะมีการปรับลดลงบ้างตามทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยเบื้องต้นประเมินว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรมการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอการส่งมอบที่อยู่อาศัย กลุ่มธนาคาร จากความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่คาดว่าในปีนี้จะมียอดขายลดลงจากนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลจากเดิมที่ตั้งไว้ 1.4 ล้านคัน จะเหลือเพียง 1.2 ล้านคัน