“กิตติรัตน์” ยันไม่ห่วงไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก มั่นใจโครงการโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ ปัดไม่ทราบ ป.ป.ช.พบพิรุธขายข้าว “จีทูจี” และให้ระงับคำสั่งย้าย “สุภา” ยืนยัน “คลัง” สั่งสอบเพื่อช่วยลูกน้องในฐานะผู้เสียหาย แต่ไม่รับปากหากเกิดเหตุ “สุภา” ต้องพ้นเก้าอี้ ต้องมีเหตุผล และสามารถอธิบายได้
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ในปี 2556 สู่ระดับ 3.1% ซึ่งลดลง 0.2% จากการคาดการณ์เมื่อเดือนเมษายน โดยยอมรับว่า มีการคาดการณ์ไว้แต่ต้นแล้ว ซึ่งการปรับลดของไอเอ็มเอฟสอดคล้องกับความเข้าใจของคนทั่วโลก
โดยในส่วนของประเทศไทย ก็มีส่วนราชการปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยบ้างแล้วเพราะเราพึ่งพาการส่งออก อย่างไรก็ตาม หากเราไม่ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัว มีสิ่งที่เราจะต้องทำได้คือ พึ่งพาภาคบริการ เรื่องการท่องเที่ยว การขยายตัวของการท่องเที่ยว จะส่งผลต่อรายได้ภาคธุรกิจบริการ
นอกจากนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพในช่วงระหว่างการลงทุน และเมื่อลงทุนเสร็จแล้ว ประสิทธิภาพของประเทศจะดีขึ้น ความเสี่ยงด้านของอุทกภัย และภัยแล้งจะลดลง
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องรักษาบรรยากาศทางการเมืองให้ดี ทุกครั้งที่มีความรุนแรง หรือการประท้วงจะทำให้นักท่องเที่ยวหายไป การลงทุนของต่างประเทศจะชะลอตัว แต่ถ้าบรรยากาศทางการเมืองดีเราจะผ่านช่วงวิกฤตได้ และในช่วงนี้ยังไม่เห็นสัญญาณคนว่างงานเหมือนกับหลายประเทศ
“ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เท่าที่คุยกับนักลงทุน เขากังวลว่าโครงการจะชะงัก แต่เราก็บอกว่าได้ทำตามขั้นตอนที่ศาลวินิจฉัย เขาก็สบายใจบ้าง และเข้าใจมากขึ้น แต่คงติดตามดูว่าเราจะลงทุนโครงการดังกล่าวได้หรือไม่ และโรงงานที่มีอยู่ในประเทศไทยจะปลอดภัยหรือไม่”
ป.ป.ช.พบพิรุธขายข้าวจีทูจี และให้ระงับคำสั่งย้าย “สุภา” ยืนยัน ก.คลัง สอบ “สุภา” เพื่อช่วยลูกน้องในฐานะผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ถูกสอบ ไม่รับปากไม่ย้าย “สุภา” พ้นเก้าอี้ อ้างกลัวเป็นการไปตัดสิทธิ มั่นใจมีเหตุผลดี-อธิบายได้
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบพิรุธการขายข้าวแบบจีทูจี 8,000 ล้านบาท ส่อทุจริต และให้รัฐบาลระงับคำสั่งย้าย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง โดยยืนยันว่า ตนเองยังไม่ทราบข้อมูลตรงนี้ แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิด
“ความจริงไม่ได้มีการตั้งกรรมการสอบ น.ส.สุภา แต่อย่างใด แต่ที่ผ่านมา น.ส.สุภา ไปให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภา และอาจถูกสัมภาษณ์ไปจำนวนมาก จนปรากฏเป็นข่าวต่างๆ ออกมา ซึ่ง น.ส.สุภา ก็ได้ชี้แจงต่อปลัดกระทรวงการคลัง และเพื่อนร่วมงานว่าไม่ได้พูดอย่างที่เป็นข่าว กระทรวงการคลังจึงต้องช่วย น.ส.สุภา โดยไปดูว่าสิ่งที่ได้พูดกับสิ่งที่ปรากฏเป็นข่าวมีอะไรไม่ตรงกันบ้าง เราจะได้ช่วยยืนยันไปว่า น.ส.สุภา ไม่ได้ไปพูดให้ใครกระทบกระเทือน ดังนั้น คุณสุภา จึงไม่ใช่ผู้ที่ถูกสอบ หากมองอีกด้านหนึ่งอาจจะเป็นผู้เสียหายด้วยซ้ำไป”
ดังนั้น หน้าที่ของกระทรวงการคลัง โดยผม และปลัดกระทรวงก็ต้องช่วยดูแลสิทธิของท่านว่าที่ท่านพูดไป ถ้าเป็นการพูดอย่างถูกต้องเราก็ต้องช่วยปกป้องลูกน้อง แต่ถ้าท่านพูดจาอ้างอิงไปถึงตรงไหน ซึ่งถ้ามีมูลความจริง มีเหตุ และมีข้อมูลประกอบ ก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะสามารถยืนยันสิ่งที่ท่านพูดได้
เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ น.ส.สุภา พูดจะไม่กระทบจนทำให้ถูกย้ายออกจากตำแหน่ง นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตนยืนยันได้ว่าจะไม่มีใครถูกย้ายออกด้วยการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการอย่างถูกต้อง การที่มีกรรมการสอบชุดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เห็นได้ว่าสิ่งที่ น.ส.สุภา ได้ปฏิบัติไปนั้นถูกต้อง
นายกิตติรัตน์ ยอมรับว่า ในเรื่องการหมุนเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่ง หรือการเกษียณอายุราชการ เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเช่นกันในกระทรวงการคลัง เพราะมีข้าราชการระดับสูงขยับขึ้นไปเป็นรัฐมนตรีด้วย การพิจารณาว่าข้าราชการระดับสูงคนไหนจะไปทำหน้าที่ใด มีกระบวนการของกระทรวงพิจารณาอยู่ ซึ่งรองปลัดหลายคนไม่ใช่เฉพาะ น.ส.สุภา ก็ต้องการไปเป็นอธิบดีก็มี
ส่วนอธิบดีหลายคนก็อาจจะอยากขยับไปในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป หรือไปอยู่หน่วยงานอื่นก็มี ดังนั้นถ้าจะไปพูดว่าจะไม่มีการพิจารณาโยกย้ายเลย ก็อาจเป็นการไปตัดสิทธิของ น.ส.สุภาได้ แต่ตนเชื่อว่าถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใดๆ ก็จะต้องมีเหตุผลที่ดี และอธิบายได้