xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยหวั่นสถาบัน-รายย่อย ซื้อเยอะช้อนหัก เงินร้อนรอทุบต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดัชนีหุ้นไทยลดลงกว่า 249 จุด และยังมุ่งหาจุดต่ำสุดใหม่ หวั่นสถาบัน-รายย่อยช้อนหัก หลังรับซื้อไปเยอะจนเงินจม โบรกฯ คาดอาจเห็นรีบาวนด์เล็กน้อย เฟดเริ่มลดวงเงินในไตรมาส 3 และดัชนีอาจแย่สุดที่ 1,300 จุดแล้วเริ่มฟื้นตัว ย้ำแม้ถอน QE แต่เงินในสภาพคล่องยังอยู่ ดอลลาร์พร้อมเข้าทำกำไรรอบใหม่จนกว่าขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนทองคำแนวโน้มซึมยาว
 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิ.ย.2556 ปิดที่ระดับ 14,00.50 จุด ลดลง 1.69 จุด หรือ 0.12% มูลค่าการซื้อขาย 79,035.17 ล้านบาท ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี2556 ดัชนีลดลงกลับมาใกล้เคียง 1,400.95 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของการซื้อขายวันแรกในปีนี้ (2ม.ค.) แต่ยังไม่สามารถทำลายสถิติต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ทำไว้ 1,351.95 จุด เมื่อ 13 มิ.ย.2556
 โดยหากพิจารณาเปรียบเทียบกับจุดสูดสุดในปีนี้ที่ระดับ 1,649.77 จุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. กับจุดต่ำสุด พบว่าในรอบ 6 เดือน ดัชนีปรับตัวลง 297.82 จุดหรือ 22.02% และจากปิดตลาดล่าสุด (21 มิ.ย.) ดัชนีปรับตัวลงมา 249.27 จุด หรือ 17.79% โดยแรงเทขายหลักคือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเพียงเดือนมิถุนายนขายสุทธิ 44,919.60 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีขายสะสม 66,011.86 ล้านบาท

    นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า จากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งล่าสุด (18-19 มิ.ย.) ทำให้มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ว่า เฟดจะเริ่มลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรของมาตรการ QE3 จากปัจจุบันอยู่ที่ 85,000 ล้านเหรียญ/เดือน ลงภายในปีนี้ และจะยุติมาตรการดังกล่าวภายในกลางปี 2557 ทำให้เกิดแรงเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่เคยส่งสัญญาณว่าจะชะลอหรือยุติมาตรการ QE3 เมื่อวันที่ 21 พ.ค. จนดัชนีหุ้นร่วงลงหนัก

สถาบัน-รายย่อยแรงซื้ออ่อนลง...ช้อนเริ่มหัก

    ที่ผ่านมา การเทขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นและพันธบัตร ถูกให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการดึงเม็ดเงินกลับ จากที่เงินส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่ไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคต่างๆ เพื่อหาอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ผ่านการลงทุนต่างๆ นักวิเคราะห์บางรายประเมินว่า เป็นการปรับพอร์ตลงทุน หรือการเทขายเพื่อทำกำไร หลังจากเข้าซื้อสะสมมานานระยะหนึ่ง แต่จากสถานการณ์เดียวกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องบางรายมองว่าเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน และสนับสนุนให้เข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก เพื่อรอเวลาเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามา และช่วยผลักดันให้ดัชนี และราคาหุ้นสูงขึ้น

    แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เริ่มทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า แรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนไทยทั้งบุคคลทั่วไป และสถาบันจะเพียงพอหรือไม่ จากที่ผ่านมาเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนียังปรับตัวลดลงหาจุดต่ำสุดใหม่ ซึ่งอาจลึกกว่า 1,350 จุด อันเป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญ ซึ่งหมายถึงเงินที่ลงทุนไปจมอยู่ในหุ้นที่ราคายังปรับตัวลดลงต่อไป

    “ไม่มีใครตอบได้ว่าจุดต่ำสุดรอบนี้อยู่ที่ไหน มีข่าวว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็เหมือนสัญญาณเร่งให้ต่างชาติขายหุ้นออกไปเพื่อนำเงินกลับ เพราะต้นทุนเงินกู้สูงขึ้น ขณะที่สถาบันในประเทศก็ซื้อสะสมไปแล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท รายย่อยอีก 1.2 หมื่นล้านบาท แรงซื้อเริ่มอ่อนลงเพราะเงินจมไปมาก สิ่งที่ต้องจับตาคือ สถาบัน และรายย่อยจะเข้าซื้อไปเรื่อยๆ ได้อีกมากแค่ไหน

    ตอนนี้นักลงทุนบางคนเข้าซื้อสะสมไว้มากเริ่มติดดอย เม็ดเงินเหลือน้อย เพราะเชื่อว่าดัชนีจะปรับตัวดีขึ้น แต่มันยังไม่ท่าทีเช่นนั้น อย่างมากขึ้นมาแค่ 1-2 วันก็ปรับตัวลงอีกทำให้เงินจม เช่นเดียวกับแรงขายของต่างชาติ มีการบอกว่าเริ่มเบาบางลง แต่ความจริงกลับมาซื้อเพียงเล็กน้อย และยังเทขายไม่หยุด ดังนั้น ตอนนี้ไม่ว่าดัชนีจะทรุดถึงระดับไหน ก็ยังไม่ควรรีบกลับเข้าไปลงทุน เพราะขาลงรอบนี้ไม่น่าจะจบง่าย ราคาหุ้นที่ว่าถูกแล้วได้รับการพิสูจน์ว่ายังมีถูกกว่า ควรถือครองเงินสดเพื่อรอจังหวะเวลาที่ดีกว่านี้”

คาดได้เห็น Set ฟื้นตัวช่วงไตรมาส 3

    บล.เอเซีย พลัส จัดทำรายงานกลยุทธ์ลงทุนรายสัปดาห์ (24-28 มิ.ย.) โดยระบุว่า เฟดน่าจะทยอยลดปริมาณการซื้อพันธบัตรตั้งแต่ไตรมาส 3 หมายถึงการขับเคลื่อนของตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงประเภทต่างๆ ด้วยสภาพคล่องส่วนเกินกำลังจะยุติลง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในภาวะปรับฐานต่อ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย โดยในสัปดาห์นี้ ประเมินว่าดัชนีไม่น่าจะลงไปกว่า 1,380 จุด และไม่ถึง 1,350 จุด เพราะเชื่อว่าได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และเชื่อว่าในไตรมาส 3 ดัชนีน่าจะเริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อทดสอบ 1,420 จุด และขึ้นไปทดสอบต่อที่ 1,485 จุด หลังเกิดการปรับเปลี่ยนรุนแรง ซึ่งแต่เดิมตลาดหุ้นเคยได้รับประโยชน์จากสภาพคล่องโลกที่สูง ต้องกลายเป็นได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องที่ลดลง ทำให้การขับเคลื่อนดัชนีจากนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการหุ้นรายบริษัท โดยมีโอกาสแกว่งตัวที่ 1,397-1,497 จุด (P/E 13-14 เท่า)ในระยะ 3 เดือนข้างหน้า

 ขณะที่ บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินว่า เมื่อ QE3 มีแนวโน้มยุติลง SET จะมีแนวรับที่น่าสนใจที่ 1,300-1,260 เนื่องจากเป็นจุดตั้งต้นของเม็ดเงิน QE3 ที่ไหลเข้ามาดัน SET ให้ปรับตัวขึ้น อีกทั้งค่าเงินบาทมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 32 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนค่าเงินของเม็ดเงินนี้ด้วยเช่นกัน

เม็ดเงินยังหมุนทำกำไรแม้ QE ยุติ

    นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำของเฟดต่อการส่งสัญญาณถอน QE เหมือนแผนที่วางไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการเรียกเม็ดเงินที่ได้รับผลกำไรจากการลงทุนทั่วโลกกลับประเทศทั้งในรูปต้นทุนเงินต้นและกำไร เพื่อนำกลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจของตน หลังจากปล่อยให้ตลาดทุนทั่วโลกเพลินกับเม็ดเงินเหล่านี้ นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าแม้จะเริ่มถอนมาตรการ QE3 แต่เม็ดเงินในสภาพคล่องไม่ได้ออกไปด้วย เพียงแค่เฟดจะหยุดเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้ามา ตอนนี้เม็ดเงินส่วนมากเข้าไปพักลงทุนในมันนี่มาร์เกต หรือตลาดพันธบัตรระยะสั้น เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมจะกลับเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ เพื่อทำกำไรอีกครั้ง หรืออีกหลายรอบ ก่อนที่จะถูกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดูดเม็ดเงินเหล่านี้ออกจากระบบ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2557

    “เงินในสภาพคล่องตอนนี้มีอยู่มากกว่า 3.2 ล้านล้านเหรียญ ที่จะหมุนเวียนเข้าออกตลาดต่างๆ ไปจนถึงปีหน้า ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกผิดหวังต่อเฟด ที่ไม่ได้กำหนดการตัดลดวงเงินใน QE3 ที่แน่นอน ทำให้ปัจจัยนี้กดดันตลาดหุ้นต่อไป การไถ่ถอนเม็ดเงินในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่วนตลาดหุ้นไทยต้องมองที่เรื่องเงินบาทอ่อนค่า ใครได้ประโยชน์ ใครได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจปีนี้คงไม่เป็นไปตามเป้าของรัฐบาล กว่าเม็ดเงินจะกลับมาต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน”

ทองคำซึมยาว-ศก.สหรัฐฯ ยิ่งดีราคายิ่งตก

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ คาดว่าระยะ 1-2 ปีจากนี้จะซึมตัวลง นอกจากมีข่าวร้ายใหม่เพิ่มเติมเข้ามา ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น อัตราการว่างงาน เงินเฟ้อ ภาคการผลิต ฯลฯ ถ้าในระยะต่อไปมีการประกาศออกมาดีขึ้นก็จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงอีก สิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไปคือ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ตั้งเป้าปี 2557 อัตราเงินเฟ้อที่ 2% ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตอย่างมากแค่ 1-2% เรื่องเงินเฟ้อจึงไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อจีดีพีขึ้นไปเป็น 2.5-3% อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วยเป็น 3.5-4% เรื่องนี้จะทำให้ราคาทองคำถึงรอบที่จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งปัจจัยเม็ดเงินในสภาพคล่องที่มีอยู่สูงต้องหมุนเวียนเพื่อทำกำไรอย่างไม่มีหยุด และยิ่งหมุนเวียนมากเท่าใดเงินเฟ้อก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ก็จะมีผลต่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นด้วย สำหรับไทย หากค่าเงินบาทอ่อนค่าเกิน 32 บาท/เหรียญ แบงก์ชาติอาจต้องทบทวนมาตรการ ระยะสั้นคาดราคทองจะไม่ต่ำไปกว่า 18,000 บาท ส่วนต่างประเทศต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1,250 เหรียญ/ออนซ์
กำลังโหลดความคิดเห็น