แอล.วี.เทคโนโลยี ได้งานใหญ่อีก ล่าสุด ลงนามเซ็นสัญญากับ Falcon Cement Company จากประเทศบาห์เรน มูลค่าโครงการ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 270 ล้านบาท ในการออกแบบวิศวกรรม จัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์ สำหรับโรงงานบดปูนซีเมนต์ 70 ตันต่อชั่วโมง มั่นใจปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะพลิกมีกำไรในรอบ 3 ปี
นายแฮนส์ จอร์แกน เนียลเซ่น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ LVT ผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการวิศวกรรม ออกแบบ คิดค้น พัฒนา จัดหา และควบคุมการติดตั้งอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในหลายประเทศทั่วโลก แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท Falcon Cement Company ประเทศบาห์เรน เซ็นสัญญาว่าจ้างบริษัทฯ ให้เป็นผู้ออกแบบงานด้านวิศวกรรม และจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ สำหรับโรงงานบดปูนซีเมนต์ 70 ตันต่อชั่วโมง ระยะเวลาโครงการ 16 เดือน มูลค่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 270 ล้านบาท
Mr.Hisham AI Rayes ประธานของ Falcon Cement Company เปิดเผยว่า โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ เป็นแห่งแรก และแห่งเดียวที่มีการผลิตแบบครบวงจรในประเทศบาห์เรน สำหรับการลงนามในสัญญากับ LVT ในครั้งนี้ ก็เพื่อจะใช้ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการให้บริการที่มีคุณภาพของ LVT ในการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ซึ่งทำให้กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น และยังสามารถผลิตปูนซีเมนต์ที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศบาห์เรน
“ในรอบปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในภาคธุรกิจโดยรวม และตลาดอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของรัฐบาลในการพัฒนาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรีพย์ของประเทศบาร์เรน และเราเชื่อว่าการลงนามในสัญญากับ LVT ในการพัฒนา และปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานในด้านต่างๆ จะเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตของโรงงาน รวมถึงปูนซีเมนต์มีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสามารถลดการนำเข้าปูนซีเมนต์จากต่างประเทศได้” Mr.Hisham กล่าว
นายแฮนส์ จอร์แกน กล่าวต่อว่า ความสำเร็จในการได้รับงานจาก Falcon Cement Company มาจากความมุ่งมั่น และตั้งใจของบริษัทฯ ในการเร่งหางานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนธันวาคม 2555 บริษัทฯ มีมูลค่างานที่อยู่ระหว่างการรอรับรู้รายได้ (Backlog) 1,645 ล้านบาท และนับตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงปัจจุบัน ได้งานใหม่เข้ามา 1,500 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานที่อยู่ระหว่างการรอรับรู้รายได้ของบริษัทฯ อยู่ที่ 3,145 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2555 บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในทั้งเรื่องการบริหารสัญญาเพื่อให้มีกำไร การทำงานให้แล้วเสร็จภายในข้อกำหนดของสัญญา การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แผนกการเงินและบัญชี ทั้งหมดนี้ทำให้ระบบการบริหารภายในของบริษัทฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อรวมกับการขายหุ้นบางส่วนของ LNVT ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรประมาณ 150 ล้านบาท จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้พลิกกลับมีกำไรสุทธิได้ในรอบ 3 ปี
โดยปี 2553-2555 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 239.07 ล้านบาท 23.88 ล้านบาท และ 293.20 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการที่จะสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ และมีความต่อเนื่องเพื่อให้เจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต บริษัทฯ มีแผนจะเข้าร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัท Max Manufacturing ในการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศพม่า ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากผู้ถือหุ้นในก่อนหน้านี้ ทำให้บริษัทฯ ได้เงินเข้ามา 215 ล้านบาท และยังจะได้รับเงินอีกประมาณ 64 ล้านบาท จากการจัดสรรหุ้นอีก 51 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด หรือ PP ที่คาดว่ารายละเอียดในการเพิ่มทุนจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ และจากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่จะสามารถสร้างทั้งรายได้ และกำไรในระยะยาว