xs
xsm
sm
md
lg

SCCทุ่ม4.5หมื่นล้าน ตั้งโรงงานปูนอาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน  -  ปูนซิเมนต์ไทยทุ่มเงิน 4.5 หมื่นล้านบาทสยายปีกตั้งโรงปูนซีเมนต์ในอาเซียนใน 5 ปีข้างหน้า ดันกำลังการผลิตปูนใกล้ 30 ล้านตัน/ปี เผยไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 8.7 พันล้านบาท โตขึ้น 47% หลังจากธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัวดันกำไรพุ่ง ลั่นทั้งปีกำไรโตขึ้นกว่าปีก่อน

    นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไท ย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งงบลงทุนในธุรกิจซีเมนต์ใน 5 ปีข้างหน้าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติการลงทุนไปแล้วกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐในการตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย และพม่า ใช้เงินลงทุนประเทศละ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ และโรงปูนไลน์ที่ 2 ในกัมพูชาอีก 180 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าโรงงานเหล่านี้จะแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า

    ส่วนเงินลงทุนอีก 600 ล้านเหรียญจะใช้ในการขยายกำลังการผลิตโรงปูนซีเมนต์ไลน์ที่ 2 ในอินโดนีเซียและพม่า ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตปูนเพิ่มขึ้นอีก 4.5 ล้านตันในปี 2558 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตปูนทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ 24 ล้านตัน เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน

    ขณะที่ปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนโครงการต่างๆรวมทั้งการเข้าซื้อกิจการกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายงบลงทุน 5 ปี 2 แสนล้านบาท โดย 4 เดือนที่ผ่านมานี้ บริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่ในปีนี้เป็นการลงทุนในธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง  
    นายกานต์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2556ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย  109,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจกระดาษ และธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง การฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์  โดยมีกำไรสุทธิ  8,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น  รวมทั้งในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1,000 ล้านบาท

    ไตรมาสแรกปีนี้ รายได้จากธุรกิจปิโตรเคมี 53,478 ล้านบาท โตขึ้น 1% และมีกำไรสุทธิ  2,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  112 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด)ดีขึ้นมาก โดยไตรมาส1/2556 เม็ดพลาสติก HDPE มีสเปรดอยู่ที่  521 เหรียญสหรัฐ/ตัน และล่าสุด สเปรดขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 607 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเม็ดพลาสติก PP สเปรดไตรมาส1/2556 อยู่ที่ 581 เหรียญสหรัฐ/ตัน

    ล่าสุดสเปรดPPปรับขึ้น 637 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากราคาน้ำมันอ่อนตัวลงทำให้ แนฟธา ซึ่งเป็นวัตถุดิบมีราคาอ่อนตัวลงมาเร็วกว่าการอ่อนตัวลงของราคาเม็ดพลาสติก แต่เชื่อว่าสเปรดคงไม่สูงอย่างนี้ได้ทั้งไตรมาส2 เนื่องจากไม่ใช่ฤดูการขาย แต่มั่นใจว่าครึ่งปีหลังสเปรดปิโตรเคมีจะดีกว่าครึ่งปีแรกนี้

    ส่วนธุรกิจกระดาษพบว่ามีรายได้ในไตรมาส1 อยู่ที่ 15,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 43,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  14 %   เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรวมรายได้จากกิจการคอนกรีตผสมเสร็จในอินโดนีเซีย โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดังนั้นในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 4.35 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 4.19 แสนล้านบาท และคาดว่าปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิโตขึ้นแน่นอน  เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯฟื้นตัวดีขึ้นทั้งราคาและมาร์จิน ส่วนธุรกิจกระดาษมีความต้องการใช้ในภูมิภาคนี้ ส่วนซีเมนต์ก็มีการใช้ที่ขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะกัมพูชาคาดว่าความต้องการใช้ปูนโตขึ้น 2 หลัก ขณะที่ไทยและอินโดนีเซียคาดว่าการใช้ปูนโตขึ้น 10%

    ปัจจุบันโรงปูนของบริษัทเดินเครื่องจักรเต็มกำลังผลิต 23 ล้านตัน โดยปีนี้คาดว่าจะส่งออกปูนต่ำกว่า 5 ล้านตันจากปีก่อนที่ส่งออกต่างประเทศ 5.6 ล้านตัน  เนื่องจากความต้องการใช้ปูนภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ  ทำให้มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า
“เพื่อความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจีได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยรวม 3 ธุรกิจของเอสซีจี ได้แก่ ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่าย เข้าด้วยกัน รวมเรียกว่า เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกของเอสซีจีในการขยายธุรกิจในอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน โดยในปีที่ผ่านมา ธุรกิจดังกล่าวมียอดขายรวม 154,537 ล้านบาท หรือคิดเป็น  36% ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด มีกำไรสุทธิรวม 13,129 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท และคาดว่าสัดส่วนรายได้รวมของธุรกิจนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น  40 %ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมดในอีก 5 ปีข้างหน้า”  

    นายกานต์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุนเพื่อเพิ่มคุณภาพสินค้า และขยายการผลิต LDPE ของบริษัท ไทยโพลิเอททิลีน ในเอสซีจี เคมิคอลส์ อีก 60,000 ตันต่อปี รวมเป็น 152,000 ตันต่อปี ด้วยเงินลงทุน 2,475 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีศักยภาพเติบโตดี โดยจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559  

    ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทไม่มากนัก เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงมีเงินกู้เป็นสกุลดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก1 บาท กระทบกำไรของบริษัทลดลง 900 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น