แอล.วี.เทคโนโลยี คาดกลับมาจ่ายปันผลได้ปี 57 จากตั้งเป้าล้างขาดทุนสะสมที่มี 200 ล้านบาทหมดในปีหน้า เหตุ ปรับองค์กรภายในใหม่ลดต้นทุนรักษากำไรขั้นต้นไว้ที่ 15% ทำให้มีกำไรมากขึ้น ผู้บริหารคาดปีนี้พลิกกลับมามีกำไรได้ เหตุรับรู้รายได้จากการขายหุ้นบริษัทย่อย 180 ล้านบาท
นายแฮนส์ จอร์เกน เนียลเซ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ LVT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีจำนวน 200 ล้านบาท ได้ในปี 2556 ซึ่งจะนำกำไรจากการดำเนินงานปีหน้ามาล้าง จากบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีหน้าอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และบริษัทได้มีการปรับปรุงเรื่องการบันทึกรายได้ และการบริหารภายในองค์กรเพื่อควบคุมต้นทุน ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (กรอสมาร์จิ้น) อยู่ที่ระดับ 15% และรับรู้เงินปันผลจากบริษัทย่อย คือ บริษัท แอล เอ็น วี เทคโนโลยี ไพรเวท จำกัด หรือ LNVT
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในงวดบัญชีปี ในปี 2557 แต่การจ่ายปันผลอาจะไม่มากเหมือนปี 2553 แต่จากที่บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนกับบริษัท Max Manufacturing ในประเทศพม่า เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนจำนวน 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการถือหุ้น 15% โดยนำเงินจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 396.69 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 51 ล้านหุ้น และอีก 345.69 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุนเดิมในอัตรา 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 1.25 บาทต่อหุ้น ดดยจะมีการเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้
สำหรับบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก บริษัท MAXฯ จะได้รับผลอตบแทนจาการลงทุนอัตรา 28% โดยจะมีรายได้ในปี 2556-2557 ประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะสามารถถึงจุดค้มทุนได้ภายใน3-4 ปี จากที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในพม่ามีการเติบโตสูง 4.5 ล้านตันต่อปี และแต่ละปีมีความต้องการใช้เพิ่มปีละ 5 แสนตันต่อปี
นายวรยุทธ์ เติมศรีเจริญพร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ LVT กล่าวว่า ในไตรมาส 4/55 บริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายหุ้น LNVT จำนวน 180 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทกลับมามีกำไรได้ แต่ยังไม่สามารถครอบคุมกับผลขาดทุนสะสมที่บริษัทมีอยู่ โดยบริษัทคาดว่าปี 2555 จะมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน จากที่บริษัทมีงานในมืออยู่จำนวน 2,500 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน และคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีงานเพิ่มเป็น 3,200 ล้านบาท จากที่บริษัทจะมีการหางานใหม่เพิ่มที่บราซิล ซึ่งเป็นงานขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทราบผลภายในเดือนหน้า
นอกจากนี้ บริษัทมีการเจรารับงานเพิ่มอีก 3 โครงการ ที่บาห์เรน ซึ่งมีมูลค่างาน 200 ล้านบาท รับงานต่อจากบริษัทเกาหลีใต้ที่ทำโครงการที่แอฟริกา อีกจำนวน 250 ล้านบาท และงานที่บราซิลอีกจำนวน 300 ล้านบาท รวมมูลค่า 3 งานดังกล่าวประมาณ 2.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ มีงานที่พม่าอีกจำนวน 700 ล้านบาท หากได้ก็จะมีการรับรู้รายได้ในปีหน้า
