หุ้นภาคเช้าปิดบวก 8.73 จุด ดัชนียืนเหนือ 1,500 จุดได้สำเร็จ เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยคาดหวังว่าเฟดจะมีมาตรการใหม่ออกมา หลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันนี้ ส่วนภาคบ่ายลุ้นขึ้นต่อ หากไม่มีปัจจัยลบแรงๆ กระทบ
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,350.06 จุด เพิ่มขึ้น 8.73 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.65% มูลค่าการซื้อขาย 21,046.08 ล้านบาท ทิศทางเดียวกับตลาดในต่างประเทศ โดยคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมาตรการใหม่ออกมาหลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันนี้ และดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนของเยอรมนีออกมาดีด้วย
สำหรับแนวโน้มบ่ายวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังสามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ แม้อาจจะมีแรงขายทำกำไร คงต้องจับตาว่าหากดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,500 จุด ได้อย่างแข็งแกร่ง ก็สามารถจะเดินหน้าขึ้นได้ต่อเนื่อง หากไม่มีปัจจัยลบที่แรงๆ เข้ามากระทบ
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เฟดจะประกาศแผนการซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Q3) เป็นรอบที่ 3 แล้ว โดยมาตรการ QE3 ได้ประกาศใช้ในที่ประชุมเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ปีนี้ ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ส่วนในการประชุมเฟดครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ปีนี้ เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0-0.25% และเดินหน้าใช้มาตรการ QE3 ต่อไป จนกว่าตลาดแรงงานจะส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น
การที่นักลงทุนนักลงทุนจับตาดูการประชุมเฟดในวันนี้อย่างใกล้ชิด ก็เพราะว่ามาตรการ Operation Twist จะหมดอายุลงในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะประกาศใช้ QE4 ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รอบใหม่วงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจเมื่อมาตรการ Operation Twist หมดอายุลง
เฟดประกาศใช้มาตรการ Operation Twist ตั้งแต่การประชุมเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2554 ซึ่งโดยหลักการแล้ว มาตรการ Operation Twist คือการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ และขายพันธบัตรระยะสั้นประเภทที่มีอายุไม่เกิน 3 ปีในวงเงินเท่ากัน โดยมีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานให้ขยายตัวขึ้น และยังช่วยให้แรงกดดันด้านการเงินผ่อนคลายลงด้วย
เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้กล่าวปกป้องนโยบายเชิงรุกด้านต่างๆ ที่เฟดนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ โดยเบอร์นันเก้ กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องฉุดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ปรับตัวลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้อัตราว่างงานลดลงได้ พร้อมกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะช่วยลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางด้วยการทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลปรับตัวลดลง และยังเป็นการกระตุ้นรายได้จากภาษีด้วย