xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่ม mai stars เลือก บจ.9 แห่งเด่นสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัด 9 บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ให้อยู่ในกลุ่ม mai stars พบความโดดเด่นผลงาน 5 ปีที่ผ่านมา เป็นบริษัทที่มีความเฉพาะตัวของสินค้า และบริการ บุคลากรมีความชำนาญพิเศษในการผลิตสินค้า และให้บริการ ส่งผลให้คู่แข่งรายใหม่ยากต่อการเข้าสู่ธุรกิจ แถมรักษาฐานลูกค้าเดิม และประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และประหยัดค่าใช้จ่าย หากสร้างพอร์ตการลงทุนบริษัทกลุ่มนี้ช่วง 5 ปีให้ผลตอบแทนรวม 74.94% สูงกว่าผลตอบแทนรวมของตลาด mai และ SET ที่ให้ผลตอบแทนรวม 57.51% และ 70.99% ตามลำดับ

ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาด mai) เป็นตลาดรองในการระดมทุนที่สำคัญสำหรับบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ที่เพิ่มขึ้นจาก 426.95 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2544 เป็น 92,578.99 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2555 หรือเพิ่มขึ้น 216 เท่า และจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai ที่เพิ่มขึ้นจาก 3 บริษัท ณ สิ้นปี 2544 เป็น 75 บริษัท ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2555 อีกทั้งเมื่อพิจารณาผลประกอบการยิ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai โดยผลการดำเนินงานปี 2554 แสดงให้เห็นว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลัก
ทรัพย์ mai มีรายได้รวมสูงถึง 83,206 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงถึง 4,428 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงน่าสนใจว่าบริษัทจดทะเบียนใดอยู่ในกลุ่ม mai stars

โดย 9 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม “mai stars” มีกำไรสุทธิ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง 5 ปี (ปี 2550-2554) และมีอันดับบรรษัทภิบาลตั้งแต่ “ดี” หรืออยู่ในเกณฑ์ 3 ดาวขึ้นไป ถ้าเราพิจารณาความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียน จาก (1) ความสามารถในการสร้างกำไรของกิจการ โดยมีกำไรสุทธิต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา หรือมีกำไรสุทธิต่อเนื่องทุกปี หรือนับจากเข้าจดทะเบียนสำหรับบริษัทจดทะเบียนหลังปี 2550   (2) มี
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (cashflow from operating activities) เป็นบวกตลอดช่วงที่ทำการศึกษา และ (3) มีการจ่ายปันผลตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยพิจารณาการจ่ายเงินปันผล (cash dividend) และสุดท้าย 4) มีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

โดยพิจารณาจากระดับคะแนนบรรษัทภิบาลที่ต้องมีอันดับบรรษัทภิบาลตั้งแต่ “ดี” หรืออยู่ในเกณฑ์ 3 ดาวขึ้นไป เมื่อพิจารณาผลประกอบการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2550-2554) พบว่า บริษัทจดทะเบียนทั้ง 9 บริษัท เป็นบริษัทในกลุ่ม “mai stars” ตามที่นิยามไว้ข้างต้น ซึ่งแต่ละบริษัทมีการดำเนินงานที่ดีกว่าภาพรวมของตลาด mai ทั้งจากอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 5 ปี (5-year average net profit margin :5-year average NPM) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย 5 ปี, (5-year return on assets: 5-year average ROA) อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 5 ปี (5-year return on equity: 5-year average ROE) และอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี (5-year dividend yield: 5-year average DIY) สูงกว่าตลาด mai 

เมื่อพิจารณาผลประกอบการล่าสุด จากงบการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 2/2555 พบว่าบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม “mai stars” มีกำไรสุทธิรวม 269 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.16% ของกำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาด mai และพบว่า กำไรสุทธิรวมในไตรมาส 2/2555 เพิ่มขึ้น 10.25% จากไตรมาส 2/2554 และจากข้อมูล ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2555 แสดงให้เห็นว่า “mai stars” มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ระหว่าง 2.88%-7.19% สูงกว่าอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาด mai ที่อยู่ที่ 2.27% เท่านั้น

สำหรับบริษัทในตลาด mai ที่อยู่ในกลุ่ม “mai stars” ประกอบด้วย BOL หรือ บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) GFM หรือ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) ผลิต นำเข้า และส่งออกเครื่องประดับประกอบอัญมณีต่างๆ ILINK หรือบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) MACO หรือ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) SWC หรือบริษัท เชอร์วู้ด เคมิคอล จำกัด (มหาชน) TNH หรือบริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) TPAC หรือบริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) UBIS หรือบริษัท ยูบิส (เอเชีย) จำกัด (มหาชน)

ดังนั้น โดยสรุปกล่าวได้ว่า บริษัทในกลุ่ม “mai stars” มีคุณสมบัติร่วมที่สำคัญ คือ การเป็นบริษัทที่มีความเฉพาะตัวของสินค้าและบริการ ต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญพิเศษในการผลิตสินค้า และให้บริการ ซึ่งส่งผลให้คู่แข่งรายใหม่ยากต่อการเข้าสู่ธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ อันจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายการตลาด และช่วยให้รายได้ของบริษัทไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้ไม่ขยายตลาด หรือเพิ่มกลุ่มลูกค้า บริษัทอาจต้องเผชิญปัญหากับอำนาจต่อรองของลูกค้าเดิมที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตการลงทุนในกลุ่มบริษัท “mai stars” ให้ผลตอบแทนรวมสูงถึง 74.94% สำหรับช่วงเวลาลงทุน 5 ปี (2549-2554) ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนรวมของตลาด mai และ SET ที่ให้ผลตอบแทนรวม 57.51% และ 70.99% ตามลำดับ

หากสร้างพอร์ตจำลองการลงทุนในกลุ่มบริษัท “mai stars” บริษัทละ 1 หุ้น (ภาพที่ 5) ระยะเวลาลงทุน 5 ปี โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2549 และสิ้นสุดเวลาลงทุน ณ 30 ธันวาคม 2554 และสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาด mai หลังจากวันแรกที่เริ่มลงทุน จะซื้อหุ้นของบริษัทนั้น ณ วันสิ้นปีของปีที่บริษัทนั้นๆ เข้าจดทะเบียนฯ ซึ่งใช้เงินลงทุนในการสร้างพอร์ตจำลองการลงทุนในกลุ่มบริษัท “mai stars” รวม 57.81 บาท

เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาลงทุน พบว่า พอร์ต “mai stars” มี 9 หุ้นของ 9 บริษัท มีมูลค่ารวม 77.33 บาท หรือมีกำไรจากส่วนต่างราคารวม 19.52 บาท หรือคิดเป็น 33.77% ของเงินลงทุนเริ่มต้น และตลอดช่วงเวลาลงทุนได้รับรายได้จากปันผลของบริษัทจดทะเบียนรวม 23.80 บาท หรือคิดเป็น 41.17% ของเงินลงทุนเริ่มต้น ดังนั้น พอร์ตจำลองนี้ให้ผลตอบแทนรวมสูงถึง 74.94% ของเงินลงทุนเริ่มต้น สูงกว่าผลตอบแทนรวมของตลาด mai และตลาด SET ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยตลาด mai ให้ผลตอบแทนรวม 57.51%3 ซึ่งแบ่งเป็นกำไรจากส่วนต่างราคา 36.60% และจากเงินปันผล 20.91% และตลาด SET mai ให้ผลตอบแทนรวม 70.99%4 ซึ่งแบ่งเป็นกำไรจากส่วนต่างราคา 50.82% และจากเงินปันผล 20.17% 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทในกลุ่ม “mai stars” จะมีความโดดเด่นแต่เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการดำเนินงานในอดีตเท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนโดยเฉพาะความเสี่ยงที่บริษัทจดทะเบียนต้องเผชิญ ตลอดจนแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทหากไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าไว้ได้ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หรือนโยบายภาครัฐอันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของบริษัท เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น