นายกฯ ประธานมอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ปี 54 เชิดชูเกียรติคนเสียภาษี ชี้เป็นเจตนารมณ์ร่วมปฏิบัติตามกฏหมาย ยันรัฐนำเงินพัฒนาชาติ พร้อมลดภาษีช่วยภาคเอกชนมีศักยภาพแข่งขันเพิ่ม
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ห้องพระอุเทน ชั้น 2 กรมสรรพากร เมื่อเวลา 09.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวแสดงความยินดีในพิธีมอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ประจำปี 2554 พร้อมด้วยนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นประธานในพิธีการมอบรางวัล จำนวน 120 ราย แบ่งเป็นผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา 11 ราย และผู้เสียภาษีนิติบุคคล109ราย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่ให้กับผู้เสียภาษีคุณภาพที่มีความรับผิดชอบต่อการทำหน้าที่เสียภาษีให้แก่ประเทศ และส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีเกิดความภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ พร้อมทั้งตระหนักถึงคุณค่าของการทำความดีและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียภาษีตามหลักบรรษัทภิบาล รวมถึงก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีในภาพรวม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีว่า ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล และขอให้บริษัทที่ได้รับรางวัลเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการ ถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย และการเสียภาษีที่ถูกต้อง ซึ่งเงินภาษีอากรนั้นจะเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และยังช่วยในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งการเก็บภาษีอากรที่มากขึ้น ก็หมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การจ้างงานของคนไทยที่มากขึ้น ตรงนี้จะทำให้ประเทศเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และเงินรายได้จากการเสียภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ ภาครัฐจะนำเงินมาใช้ในการลงทุน พัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ พัฒนาชีวิต และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความจำเป็นที่ต้องนำเม็ดเงินให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และเป็นธรรม
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ปีนี้การใช้จ่ายงบประมาณมีจำนวนมากที่เราจะต้องไปพัฒนาในหลายเรื่อง ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายโครงสร้างภาษีอากรที่จะทำให้ภาคเอกชนแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และในปี 2556 จะปรับลดเหลือร้อยละ 20 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในภาคเอกชน มีศักยภาพการแข่งขัน โดยหวังให้นำเงินส่วนต่างจากการปรับลดภาษีไปจ้างงานมากขึ้น เพื่อส่งผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศไทยต่อไป